คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 871/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 บัญญัติให้ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนาย. ถ้าจำเลยไม่มีทนาย และจำเลยต้องการ ก็ให้ศาลตั้งทนายให้จำเลยเสียก่อนเริ่มพิจารณาถ้าศาลสอบถามคำให้การจำเลยก่อนสอบถามเรื่องทนายก็ย่อมเป็นการไม่ชอบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ในเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 บัญญัติขึ้นเพื่อให้จำเลยมีทนายต่อสู้คดีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษจำคุกตามที่ระบุไว้ มิใช่หมายความรวมถึงโทษที่จำเลยจะพึงได้รับจากการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย การที่จำเลยจะถูกเพิ่มโทษหรือไม่ เป็นคนละส่วนกับกรณีความผิดที่จำเลยถูกฟ้องร้อง ฉะนั้น แม้จำเลยจะให้การก่อนที่ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนาย คำให้การนั้นก็ไม่เสียไป ทั้งตามรูปคดีก็ไม่มีเหตุน่าสงสัยว่าคำให้การของจำเลยในข้อนี้จะไม่เป็นความจริง คำรับของจำเลยในข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ จึงรับฟังเพื่อเพิ่มโทษจำเลยได้(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10-11/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและวาจาขู่เข็ญว่าจะทำร้ายจำเลย เคยต้องคำพิพากษาจำคุก 6 เดือนฐานรับของโจรขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 335, 83, 92

จำเลยให้การปฏิเสธ ส่วนข้อเคยต้องโทษจำเลยรับ จำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษมาจริงตามฟ้องโจทก์

เมื่อศาลจดคำให้การจำเลยแล้ว ศาลสอบถามจำเลย จำเลยขอให้ศาลหาทนายให้

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 83 ให้จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้มีโทษจำคุกถึงสิบปี การสอบถามคำให้การจำเลยเป็นการพิจารณาตามกฎหมาย ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 จะทำได้ต่อเมื่อจำเลยมีทนายแล้ว การสอบถามคำให้การจำเลยโดยยังไม่มีทนาย จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยซึ่งถือเสมือนว่าจำเลยยังมิได้ให้การ แต่พฤติการณ์ของคดียังไม่มีเหตุที่จำต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ เพราะโจทก์จำเลยต่างมีและใช้สิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาของตนในชั้นสืบพยานได้ตามปรารถนาแต่คำให้การของจำเลยที่รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษ ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การที่ชอบ ไม่ผูกพันจำเลยและโจทก์มิได้นำสืบ จึงเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้ ส่วนข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริงดังฟ้อง จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ไม่เพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 92 คงจำคุกจำเลย 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลย

ศาลฎีกาประชุมใหญ่พิจารณาแล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 บัญญัติให้ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนาย ถ้าจำเลยไม่มีทนายและจำเลยต้องการ ก็ให้ศาลตั้งทนายให้จำเลยเสียก่อนเริ่มพิจารณา การถามคำให้การจำเลยก็เป็นการพิจารณา ฉะนั้น ถ้าศาลสอบถามคำให้การจำเลยก่อนดำเนินกระบวนพิจารณาเรื่องทนายดังกล่าวข้างต้นก็ย่อมเป็นการไม่ชอบ แต่ถึงแม้จะมีการถามคำให้การจำเลยโดยไม่ถูกต้องก็ไม่ต้องให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ในเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ส่วนการถามคำให้การจำเลยในเรื่องเคยต้องโทษตามฟ้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 นั้น บัญญัติขึ้นเพื่อให้จำเลยมีทนายต่อสู้คดีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์มีอัตราโทษจำคุกตามอัตราที่ระบุไว้ มิใช่หมายความรวมถึงโทษที่จำเลยจะพึงได้รับจากการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย และการที่จำเลยจะต้องถูกเพิ่มโทษหรือไม่ เป็นคนละส่วนกับกรณีความผิดที่จำเลยถูกฟ้องร้องศาลฎีกาเห็นว่า กรณีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยไม่เกี่ยวกับมาตรา 173 ที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ฉะนั้น แม้จำเลยจะให้การก่อนที่ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนาย คำให้การนั้นก็ไม่เสียไป ทั้งตามรูปคดีก็ไม่มีเหตุน่าสงสัยว่าคำให้การของจำเลยในข้อนี้จะไม่เป็นความจริงคำรับของจำเลยในข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ จึงรับฟังเพื่อเพิ่มโทษจำเลยได้ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share