คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7247/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 นั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะต้องฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีด้วย ศาลจึงจะมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ แม้โจทก์จะฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยที่ 1แต่ต่อมาศาลได้สั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความเพราะโจทก์ทิ้งฟ้องซึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176บัญญัติให้ถือเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้อง ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีเลย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลก็มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนครราชสีมา หมายเลขแดงที่ 1934/2530 ระหว่างนางสุปรีดาตังอนุสรณ์สุข โจทก์ นายมานิตย์ ระดมสุข กับพวก จำเลยภายหลังจากศาลจังหวัดนครราชสีมามีคำพิพากษาแล้วจำเลยที่ 1และนางวิรัตน์ยังมิได้ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนให้ที่ดินเฉพาะส่วนตามโฉนดที่ดินเลขที่ 39636 แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 รู้ดีว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ และต่อมาจำเลยที่ 2ได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการคบคิดกันฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้พิพากษาเพิกถอนทำลายนิติกรรมการให้เฉพาะส่วนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 39636 ตำบลสลักไดอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ และเพิกถอนทำลายนิติกรรมการซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ให้กลับสู่สภาพเดิม หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาของจำเลย
ระหว่างส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง ปรากฏจากรายงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยที่ 1 ได้มรณะก่อนถูกฟ้องและโจทก์ไม่ดำเนินการตามที่ศาลชั้นต้นสั่งภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1934/2530 อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ยังไม่อาจถือได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่คดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่มีสิทธิฟ้องดำเนินคดีจำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 3 เป็นบุคคลภายนอกรับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องลูกหนี้คือจำเลยที่ 1 เข้ามาในคดีด้วย ศาลจึงจะมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ ข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้าหน้าที่รายงานการเดินหมายการส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ได้มรณะก่อนถูกฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แถลงแต่โจทก์เพิกเฉย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 บัญญัติว่า”การทิ้งคำฟ้องหรือถอนคำฟ้องย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้นรวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้อง และกระทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลยแต่ว่าคำฟ้องใด ๆ ที่ได้ทิ้งหรือถอนแล้วอาจยื่นใหม่ได้ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ” ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องลูกหนี้คือจำเลยที่ 1 เข้ามาในคดีเลย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนโดยโจทก์มิได้ฟ้องลูกหนี้คือจำเลยที่ 1 หรือทายาทผู้รับมรดกของจำเลยที่ 1 ได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง ศาลก็มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share