คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1759/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 มาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 แม้ผู้ร้องจะได้ซื้อที่พิพาทไว้จากจำเลย แต่ก็มิได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่พิพาทจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ โจทก์ย่อมมีสิทธินำยึดที่พิพาทนี้จากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ จะนำบทบัญญัติเรื่องการครอบครองที่ดินที่ไม่มีหนังสือสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 มาใช้บังคับไม่ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าโจทก์ได้นำยึดที่ดินของผู้ร้องซึ่งผู้ร้องได้ซื้อไว้จากจำเลย ที่แปลงนี้ไม่มีหนังสือสำคัญ ผู้ร้องได้ครอบครองมาโดยสงบและเปิดเผยนานกว่า ๑ ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครองขอให้ศาลสั่งถอนการยึด
โจทก์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ผู้ร้องกับจำเลยสมคบกันฉ้อโกงโจทก์มิได้ซื้อขายกันจริง การซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับจำเลยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ยันโจทก์ไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นที่ไม่มีหนังสือสำคัญ ผู้ร้องได้ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยและได้ครอบครองมากว่า ๑ ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ให้ปล่อยทรัพย์พิพาทจากการยึดทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาขายให้ผู้ร้องครอบครองมาเกิน ๑ ปีแล้วก็ตาม เมื่อมิได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สวนพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ โจทก์มีสิทธินำยึดทรัพย์ได้ พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทเป็นที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ มาก่อนปี ๒๔๗๕ ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะได้ซื้อที่พิพาทไว้จากจำเลย ก็ไม่ทำให้ผู้ร้องมีสิทธิขอถอนการยึดทรัพย์รายนี้
พิพากษายืน ยกฎีกาผู้ร้อง

Share