คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114ผู้รับโอนจะต่อสู้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ไม่ยอมให้เพิกถอนการโอนทรัพย์สิน ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำขึ้นในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนล้มละลายนั้น เพียงแต่นำสืบว่าเป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนเท่านั้นยังไม่พอต้องสืบให้ฟังได้ว่าได้กระทำโดยสุจริตด้วย คำว่า ‘สุจริต’ในที่นี้หมายความว่าผู้รับโอนมิได้รู้ถึงภาระหนี้สินล้นพ้นตัวของผู้ล้มละลาย

ย่อยาว

ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2505เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยผู้ล้มละลายยื่นคำร้องเป็น 3 สำนวนสำนวนหนึ่งว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 5905 ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร เนื้อที่ 6 ไร่เศษ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2503 จำเลยทำนิติกรรมให้กรรมสิทธิ์ที่ดินนี้แก่นายมลินทร์ เจริญสิทธิ และนายมานิตย์ เจริญสิทธิ น้องจำเลย 1 ส่วน คงเหลือเป็นของจำเลย 1 ส่วน วันที่ 26 เมษายน 2504 จำเลยทำนิติกรรมยกที่ดินส่วนของจำเลย 1 ส่วนที่เหลือให้นายบุญส่ง เจริญสิทธิ เด็กชายบุญสม เจริญสิทธิ บุตรจำเลย โดยไม่มีค่าตอบแทน และป้องกันมิให้เจ้าหนี้อื่นได้รับชำระหนี้

อีกสำนวนหนึ่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า จำเลยทำนิติกรรมขายที่ดินโฉนดที่ 6101 ของจำเลย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2504 แก่นายมานิตย์ เจริญสิทธิ น้องจำเลยในราคา 11,000 บาท ต่ำกว่าราคาจริงมาก โดยไม่มีการชำระเงิน และรู้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว

อีกสำนวนหนึ่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า จำเลยทำนิติกรรมขายที่ดินโฉนดที่ 6100 ตำบลมหาชัย แก่นายมลินทร์เจริญสิทธิ นายมานิตย์ เจริญสิทธิ น้องจำเลย เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2503 ในราคา 10,000 บาท ต่ำกว่าราคาจริงในขณะนั้นมากโดยไม่มีการชำระเงิน และรู้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินทั้ง 3 แปลง ดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114

นายมลินทร์ นายมานิตย์ผู้รับโอน แถลงคัดค้านว่า ผู้รับโอนทั้งสองเป็นบุตรนายเป๋งลิ้ม ๆ เป็นน้องจำเลยร่วมบิดา แต่ต่างมารดากัน เมื่อ พ.ศ. 2500 นายเป๋งลิ้มกับจำเลยร่วมกันซื้อที่ดิน 21 ไร่เศษ ราคา 20,000 บาท โดยออกเงินคนละครึ่ง นายเป๋งลิ้มต้อง การซื้อให้ผู้รับโอน แต่ผู้รับโอนยังไม่บรรลุนิติภาวะ และนายเป๋งลิ้มเป็นคนต่างด้าว จึงให้จำเลยลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ผู้เดียวโดยตกลงว่าต่อไปจะโอนใส่ชื่อผู้รับโอน นายเป๋งลิ้มกับจำเลยได้แบ่งแยกกันครอบครองลงทุนปลูกต้นผลไม้ โรงเรือน โฉนดที่พิพาทแบ่งแยกจากโฉนดเดิมโอนใส่ชื่อผู้รับโอน โดยจำเลยเรียกเงินเพิ่มอีก เป็นการโอนโดยสุจริต มีค่าตอบแทน

นายบุญส่ง เด็กชายบุญสม ขาดนัดไม่แถลงอย่างใด

ศาลชั้นต้นพิจารณา ผู้รับโอนนำพยานหลักฐานเข้าสืบได้ความว่า นายมลินทร์และนายมานิตย์ผู้รับโอนทั้งสอง เป็นบุตรของนายเป๋งลิ้ม ๆ เป็นบุตรนายเตียกังบิดาเดียวกับจำเลย แต่ต่างมารดากันมารดานายเป๋งลิ้มเป็นคนจีน นายเป๋งลิ้มถือสัญชาติจีน เมื่อ 6 ปีมานี้จำเลยได้ซื้อที่ดินจากนางสำราญ และนายเม่งคุนแปลงหนึ่ง ราคา 20,000 บาท แล้วได้แบ่งแยกออกเป็นโฉนดหลายแปลง รวมทั้งโฉนดเลขที่ 5905, 6100 และ 6101 ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร ที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนนี้ด้วย โดยจำเลยกับนายเป๋งลิ้มได้ออกเงินคนละครึ่ง ที่นายเป๋งลิ้มออกเงินด้วยเพราะต้องการซื้อให้กับผู้รับโอน แต่ขณะนั้นผู้รับโอนยังไม่บรรลุนิติภาวะ ที่ออกเงินครึ่งหนึ่งนี้ จำเลยได้ทำหนังสือให้ไว้ 1 ฉบับ เมื่อซื้อแล้ว จำเลยกับนายเป๋งลิ้มได้แบ่งแยกกันครอบครอง โดยจำเลยครอบครองด้านทิศตะวันตก นายเป๋งลิ้มครอบครองด้านทิศตะวันออก ทำถนนเป็นแนวเขต นายเป๋งลิ้มได้ลงทุนทำประโยชน์โดยยกเป็นร่อง และปลูกไม้ยืนต้น กับปลูกบ้านอีก 1 หลัง ทั้งยังจ้างคนมาเฝ้าด้วยในปี 2501 นายเป๋งลิ้มขอให้จำเลยแบ่งแยกโฉนด แต่จำเลยไม่เต็มใจ จึงได้ให้นายเช็งไปไกล่เกลี่ย จำเลยจึงยอม แต่เกี่ยงให้นายเป๋งลิ้มเป็นผู้ออกเงินค่ารังวัดแบ่งแยก เมื่อรังวัดปรากฏว่าไปทับที่ดินของนายทองอีก 6 ไร่ จึงต้องให้เงินนายทองไป 6,000 บาทจึงทำการแบ่งแยกเสร็จเอาเมื่อปี 2503 แต่จำเลยก็ยังไม่ยอมโอนจึงให้นายเช็งไปไกล่เกลี่ยอีก จำเลยขอเงิน 26,000 บาท แต่มีเงินไม่พอ จึงขอให้โอนให้ 2 แปลงก่อน คือแปลงโฉนดเลขที่ 6100 ได้ โอนใส่ชื่อผู้รับโอนทั้งสองเมื่อเดือนตุลาคม 2503 ทำเป็นการซื้อขายเป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนแปลงโฉนดเลขที่ 5905 ได้เติมชื่อผู้รับโอนทั้งสองลงไปเพื่อตั้งใจเก็บไว้ทำที่ฝังศพและต้องให้เงินจำเลยอีก 5,000 บาท สำหรับที่แปลงโฉนดเลขที่ 6101 ได้โอนใส่ชื่อนายมานิตย์ผู้รับโอนเมื่อปี 2504 ทำเป็นสัญญาซื้อขายเป็นเงิน 11,000 บาท ในวันทำการโอน นายเป๋งลิ้มได้ชำระเงินให้จำเลยไปต่อหน้าเจ้าพนักงานแล้ว ราคาที่ซื้อขายนี้เป็นราคาที่ซื้อขายกันทั่ว ๆ ไป ตอนทำการโอนที่ดิน 3 แปลงดังกล่าว ผู้รับโอนและนายเป๋งลิ้มไม่ทราบว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว

ส่วนนายบุญส่ง และเด็กชายบุญสม โดยนางนวลจันทร์ เจริญสิทธิมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมผู้รับโอนไม่ติดใจสืบพยาน

ฝ่ายผู้ร้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบได้ความว่า โจทก์รู้จักจำเลยเนื่องจากค้าขายติดต่อกัน และจำเลยเคยกู้เงินจากโจทก์ด้วย รวมเป็นหนี้สินหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นบาทเศษ โจทก์จึงฟ้องล้มละลาย เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้ว ปรากฏว่ามีเจ้าหนี้ทั้งหมด 29 ราย เป็นหนี้ทั้งหมด 9 แสนบาทเศษ ก่อนฟ้องล้มละลาย โจทก์เคยไปทวงหนี้จากจำเลยบ่อย ๆ ได้พบเจ้าหนี้คนอื่นและผู้รับโอนทั้งสองซึ่งเป็นหลานชายจำเลยนี้ด้วย ผู้รับโอนทั้งสองจึงได้ทราบว่าจำเลยมีหนี้สินมาก จำเลยได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5905 ให้แก่ผู้รับโอนทั้งสองก่อนฟ้องล้มละลายประมาณ 4 เดือน กับโอนโฉนดเลขที่ 6100 ให้ผู้รับโอนทั้งสองก่อนฟ้องล้มละลายราว 1 ปีเศษ ส่วนการโอนโฉนดเลขที่ 6101 ให้ผู้รับโอนหลังจากถูกฟ้องล้มละลายแล้ว การที่จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวนี้ทำให้เจ้าหนี้ไม่ได้รับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้อง จึงนำเรื่องนี้เข้าประชุมเจ้าหนี้ ที่ประชุมมีมติให้ฟ้องขอเพิกถอนการโอน

ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานของผู้รับโอน ฟังไม่ได้ว่านายเป๋งลิ้มได้ออกเงินซื้อที่ดินไว้ร่วมกับจำเลย และผู้รับโอนทราบดีว่าจำเลยมีหนี้สินมาก การโอนได้กระทำภายใน 3 ปีก่อนล้มละลายผู้รับโอนนำสืบไม่ได้ว่าเป็นการสุจริตและมีค่าตอบแทน จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนโฉนดที่ 6100 ระหว่างจำเลยกับนายมลินทร์ นายมานิตย์ โฉนดที่ 5905 ระหว่างจำเลยกับนายมลินทร์นายมานิตย์ นายบุญส่ง เด็กชายบุญสม โฉนดที่ 6101 ระหว่างจำเลยกับนายมานิตย์เสีย

นายมลินทร์ นายมานิตย์ ผู้รับโอนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

นายมลินทร์ นายมานิตย์ ผู้รับโอน ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อที่ผู้รับโอนอ้างว่านายเป๋งลิ้มได้ออกเงินซื้อที่ดินร่วมกับจำเลยตั้งแต่แรก แต่ใส่ชื่อจำเลยเพราะตนเองเป็นคนต่างด้าว และบุตรนายเป๋งลิ้มคือผู้รับโอนก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้น ผู้รับโอนนำสืบฟังเป็นความจริงไม่ได้ นายเช็งพยานผู้รับโอนเบิกความว่า หนังสือที่จำเลยทำให้ไว้นั้นมีข้อความว่าจำเลยเอาเงินนายเป๋งลิ้มไป 10,000 บาท ซึ่งมีนัยไปในทางเป็นลูกหนี้ หาใช่ร่วมกันซื้อที่ดินไม่ แม้จะเอาเงินกันไปจริง ก็เป็นแต่หนี้ที่จะต้องชำระเงินคืน และอาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงได้มีการแบ่งแยกโอนที่ดินให้ผู้รับโอนภายหลัง โดยต้องเพิ่มเงินกันตามราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น ปัญหาว่าการโอนที่ดินเป็นไปโดยสุจริต และมีค่าตอบแทนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 หรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่า เพียงแต่โอนโดยมีค่าตอบแทนยังไม่พอ ต้องได้กระทำโดยสุจริตอีกด้วย ผู้รับโอนจึงจะต่อสู้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ยอมให้เพิกถอนการโอนได้ สุจริตในที่นี้หมายความว่าผู้รับโอนมิได้รู้ถึงภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวของผู้ล้มละลายในคดีนี้จำเลยผู้ล้มละลายกับผู้รับโอนมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก ย่อมอยู่ในฐานะที่จะรู้ดีว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวอยู่แล้ว ที่ผู้รับโอนปฏิเสธว่าไม่รู้ว่าจำเลยมีหนี้สินมากนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะภาวะของจำเลยเช่นนี้ จึงได้มีการโอนที่ดินในระยะใกล้ ๆ กันหลายแปลงผู้รับโอนนำสืบฟังไม่ได้ว่าได้รับโอนไว้โดยสุจริต ฎีกาผู้รับโอนฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ยกฎีกาผู้รับโอนทั้งสอง ให้ผู้รับโอนทั้งสองเสียค่าทนายความชั้นนี้สองร้อยบาทแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

Share