คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของคู่ความมาลอยๆ โดยมิได้อ้างเหตุก็ตาม คู่ความก็ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

ย่อยาว

คดีนี้ ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ตามประกาศยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2506 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งจะทำการขายที่นา เรือน และกระบือ 3 ตัวตามประกาศยึดทรัพย์ อันดับที่ 1, 3, 4 (ราคาประมาณ 2,500 บาท)นั้น ทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง หาใช่เป็นของจำเลยไม่ ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ดังกล่าว

โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ที่โจทก์ยึดเป็นของจำเลยเพราะผู้ร้องไม่ได้รับมรดกทางทะเบียน ทรัพย์ที่ยึดเป็นสังหาริมทรัพย์และเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยครอบครองมาเกิน 1 ปีแล้วทรัพย์จึงตกมาเป็นของจำเลยโดยผลแห่งกฎหมาย ผู้ร้องที่ 1 อาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือครอบครองร่วมกับจำเลยในลักษณะเจ้าของร่วมผู้ร้องไม่มีสิทธิขัดทรัพย์ มีสิทธิแต่ร้องขอส่วนแบ่งเท่านั้น ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาเห็นว่า ผู้ร้องที่ 1 กับนายจำปาจำเลยได้อยู่ด้วยกันมาฉันสามีภริยาตั้ง 20 ปี และครอบครองทรัพย์ร่วมกันมา แม้มิได้จดทะเบียนสมรสกันก็ตาม ก็ย่อมมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์รายพิพาท ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะขอให้ปล่อยทรัพย์รายพิพาท จึงมีคำสั่งยกคำร้อง ของผู้ร้องเสีย

ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์ว่า ทรัพย์รายพิพาทเป็นของผู้ร้อง จำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น

ศาลอุทธรณ์ทำการพิจารณาแล้วเชื่อว่า ที่นาและกระบือ 3 ตัวตามบัญชีทรัพย์ที่ประกาศขายทอดตลาดรายการหมายเลข 1 และ 4 ตาม ส.ค.1และบัญชีสัตว์ ปรากฏว่าเดิมเป็นของนางคำ แล้วตกมาเป็นของผู้ร้องที่ 1 ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลย ส่วนเรือนหมายเลข 3 นั้น ปรากฏว่าปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลย พยานผู้ร้องให้การแตกต่างขัดกันศาลอุทธรณ์จึงเชื่อว่าเรือนพิพาทเป็นทรัพย์ของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิยึดได้ พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นให้ปล่อยทรัพย์รายการหมายเลข 1 และ 4 เสีย ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายสองศาลสองร้อยบาทแทนผู้ร้อง นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาว่า ทรัพย์รายพิพาทรายการที่ 1, 4 ที่โจทก์ยึดมาควรฟังว่าเป็นของจำเลย และจำเลยได้ครอบครองร่วมมากับผู้ร้องที่ 1 ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะมาร้องขัดทรัพย์ได้ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย ส่วนเรือนพิพาทรายการที่ 3 ผู้ร้องไม่ได้ฎีกา จึงฟังเป็นอันยุติ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์มาลอย ๆ โดยไม่ได้อ้างเหตุเพราะทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้มาก โจทก์จึงฎีกาได้ตามที่โจทก์อ้างว่าทรัพย์รายพิพาทรายการที่ 1 และ 4 เป็นทรัพย์ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานมาหักล้างและคำพยานของผู้ร้องได้เพียงแต่อ้างว่าเห็นจำเลยทำนาพิพาท และใช้กระบือมา และจำเลยยังเคยระบุเอานาพิพาทลงในสัญญากู้นั้น ก็ยังไม่เป็นหลักฐานพอจะรับฟังว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยได้ เพราะการที่จำเลยใช้กระบือและทำนาพิพาทอยู่ก็เป็นเพียงอาศัยทำกินระหว่างอยู่ร่วมกับผู้ร้องที่ 1 เท่านั้นนางคำมารดาผู้ร้องก็ไม่ได้ยกนาและกระบือรายพิพาทให้จำเลย แต่ยกให้ผู้ร้องทั้งสอง จำเลยกับผู้ร้องก็ไม่ได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่มีส่วนเป็นเจ้าของร่วม เพราะไม่ใช่ทรัพย์ที่ทำมาหาได้มาด้วยกัน ศาลฎีกาจึงเชื่อว่านาและกระบือรายพิพาทตามบัญชีทรัพย์รายการที่ 1 และ 4 เป็นของผู้ร้องทั้ง 2 โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะยึดเอามาขายทอดตลาดได้ พิพากษายืน

Share