คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5896/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 54(2) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 มีผลเท่ากับจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง คำสั่งดังกล่าวไม่ถึงที่สุด จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้
การใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีอาญาต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 4 ลักษณะ 1 โดยมาตรา 193 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติเรื่องการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง, 268 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 268 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 264 วรรคหนึ่ง แต่กระทงเดียว จำคุก 3 ปี จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยมิใช่มีเพียงเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย กรณีไม่เข้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องดังกล่าว เมื่อศาลมีคำสั่งแล้วไม่ว่าจะอนุญาตหรือยกคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ให้เป็นที่สุด จึงไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย

จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 54(2) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 มีผลเท่ากับจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องคำสั่งดังกล่าวไม่ถึงที่สุด จำเลยจึงชอบที่จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยก็ดีศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยก็ดีล้วนเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อสำนวนขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัย พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ทั้งปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง โดยนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ มาใช้บังคับนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งการใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 4 ลักษณะ 1 โดยมาตรา 193 วรรคหนึ่งได้บัญญัติเรื่องการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้ ชอบที่จะต้องยกคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาของจำเลยนั้นเสีย”

พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 กับให้ยกคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาของจำเลยเสีย ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 วรรคสอง แล้วดำเนินการต่อไป

Share