คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่ ช. ขับไปชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ไว้กับจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงร่วมกันฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองตามกรมธรรม์ประกันภัยเนื่องจากรถยนต์คันที่โจทก์ที่ 1 เอาประกันภัยไว้และรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 เสียหาย โจทก์ทั้งสองจึงมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี กระบวนพิจารณาซึ่งทำโดยโจทก์ที่ 1ถือว่าได้ทำโดยโจทก์ที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1)
คำว่า “อู่” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า “ที่ที่ต่อหรือซ่อมรถหรือเรือ”เมื่อโจทก์ที่ 1 นำรถยนต์กระบะของตนไปทำการเคลือบสีและพ่นกันสนิมเท่านั้น จึงมิใช่เป็นการนำไปให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดค.ทำการซ่อมแล้วให้ช. ซึ่งเป็นบุคคลของห้างดังกล่าวใช้อันจะเป็นเหตุต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุว่า ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้โดยบุคคลของอู่เมื่อรถยนต์ได้มอบให้อู่ซ่อม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2537 นายไชยรัตน์ใจพรหม ขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 1 ท – 4287 ชลบุรีของโจทก์ที่ 1 ที่ได้ทำสัญญาประกันภัยไว้ต่อจำเลยไปตามถนนสุขุมวิทจากจังหวัดชลบุรีมุ่งหน้าไปทางแหลมฉบัง ระหว่างทางก่อนถึงสี่แยกอ่าวอุดมรถได้เกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ท – 4675 ชลบุรีของโจทก์ที่ 2 และรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 4 ฌ – 3733 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจอดอยู่บนไหล่ทางถนนสุขุมวิททำให้รถยนต์กระบะของโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 ได้แจ้งให้พนักงานของจำเลยทราบ แต่จำเลยปฏิเสธที่จะชำระค่าซ่อมให้แก่โจทก์ทั้งสอง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยชำระค่าซ่อมแซมรถยนต์กระบะให้แก่โจทก์ทั้งสองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเหมือนเดิมให้จำเลยชำระค่าเช่ารถยนต์แทนโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 33,000 บาท และโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน33,000 บาท กับให้จำเลยชำระค่าเช่ารถยนต์แทนโจทก์ทั้งสองนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระราคาค่าซ่อมให้โจทก์ทั้งสองเสร็จสิ้น

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเนื่องจากขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 ได้นำรถไปเคลือบสีและพ่นกันสนิมที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดคลีนปาร์คคาร์โค้ท มิได้เกิดจากการที่รถยนต์กระบะของโจทก์ที่ 1 เกิดเหตุแล้วเข้าซ่อมด้วยความยินยอมของจำเลยซึ่งตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.13 เรื่องการยกเว้นทั่วไป การประกันภัยตามข้อ 2.1 และข้อ 2.2 ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้โดยบุคคลของอู่เมื่อรถยนต์ได้มอบให้อู่ซ่อม การที่โจทก์ที่ 1มอบรถยนต์กระบะของตนให้อู่ซ่อมและอยู่ในความครอบครองของอู่ และขณะเกิดเหตุนายไชยรัตน์ ใจพรหม ผู้ขับรถของโจทก์ที่ 1เป็นลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดคลีนปาร์คคาร์โค้ท จำเลยจึงไม่จำต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง ฟ้องของโจทก์ที่ 2 ไม่บรรยายความสัมพันธ์ระหว่างนายไชยรัตน์ กับโจทก์ที่ 1 ที่เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของนายไชยรัตน์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินคนละ 50,000 บาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์ที่ 2 เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 มอบหมายให้นายไชยรัตน์ขับรถยนต์กระบะของโจทก์ที่ 1 ที่เอาประกันภัยไว้ต่อจำเลย นายไชยรัตน์ขับไปชนรถยนต์กระบะของโจทก์ที่ 2จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์ที่ 1 ผู้เอาประกันภัยและโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยโจทก์ทั้งสองได้ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันภัยมาท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำฟ้องตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5หมวดที่ 2 การคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ข้อ 2.3ความรับผิดต่อทรัพย์สิน ระบุว่าจำเลยจะใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ที่ 1 ต้องรับผิดตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกในนามของโจทก์ที่ 1 สภาพแห่งข้อหาในกรณีของโจทก์ที่ 2 คือจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในกรมธรรม์ประกันภัยที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในนามของโจทก์ที่ 1 โดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่านายไชยรัตน์ขับรถยนต์กระบะที่โจทก์ที่ 1 ประกันภัยไว้ต่อจำเลยชนรถยนต์กระบะของโจทก์ที่ 2 เสียหายและมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระค่าซ่อมแซมแก่โจทก์ที่ 2 คำฟ้องของโจทก์ที่ 2 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีนั้น เห็นว่า โจทก์ที่ 1และโจทก์ที่ 2 ร่วมกันฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ที่ 1 ทำไว้ต่อจำเลยโจทก์ทั้งสองจึงมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี กระบวนพิจารณาซึ่งทำโดยโจทก์ที่ 1 ถือว่าได้ทำโดยโจทก์ที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1)

ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายมีว่า การที่โจทก์ที่ 1 นำรถยนต์กระบะของตนไปทำการเคลือบสีและพ่นกันสนิมที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดคลีนปาร์คคาร์โค้ท และมอบหมายให้นายไชยรัตน์ลูกจ้างของห้างดังกล่าวขับรถยนต์กระบะไปคืนโจทก์ที่ 1 แล้วเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้บุคคลของอู่ใช้รถยนต์กระบะที่จำเลยรับประกันภัยไว้โดยจำเลยมิได้เป็นผู้สั่งหรือให้ความยินยอม กรณีจึงต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.1 ข้อ 2.13.5 และข้อ 3.8.4 หรือไม่ เห็นว่า คำว่า “อู่” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า “ที่ที่ต่อหรือซ่อมรถหรือเรือ” ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์ที่ 1 นำรถยนต์กระบะของตนไปทำการเคลือบสีและพ่นกันสนิมเท่านั้น จึงหาเป็นการนำไปให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดคลีนปาร์คคาร์โค้ททำการซ่อมแล้วให้นายไชยรัตน์ซึ่งเป็นบุคคลของห้างดังกล่าวใช้อันจะเป็นเหตุต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่ ฎีกาข้อกฎหมายทั้งสองข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share