แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เปลี่ยนโทษจำคุก เป็นส่งตัวจำเลยอายุ 15 ปี ไปสถานฝึกอบรมของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางจนกว่าอายุ 18 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 371 จำเลยอายุ 15 ปี ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมสถานฝึกอบรมของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางจนกว่าจำเลยอายุ 18 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75, 75 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 29 บัญญัติว่า “คดีที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้น ให้ฎีกาไปยังศาลฎีกาได้เหมือนอย่างคดีธรรมดาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ เว้นแต่กรณีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามความในมาตรา 27” และ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 บัญญัติว่า “ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง”
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนพิจารณาแล้ว เห็นว่าคดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัว จำเลยซึ่งขณะกระทำผิดอายุ 15 ปีเศษไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางจนกว่าจำเลยจะมีอายุสิบแปดปีนั้น มิได้ลงโทษจำเลยโดยจำคุกเกิน 5 ปี คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อฎีกาของจำเลยแล้ว เห็นว่านอกจากเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาแล้ว ข้อที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอจะฟังลงโทษจำเลยได้นั้น ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา”
พิพากษายกฎีกา