คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2334/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปลูกบ้านอาศัยในที่สาธารณะ จำเลยหามีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทไม่ คงมีแต่สิทธิครอบครองเท่านั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1405/2515) ต่อมาจำเลยขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ โดยทำหนังสือซื้อขายกันเอง ชำระราคากันครบถ้วนและยอมส่งมอบบ้านให้แก่โจทก์ ดังนี้เป็นการแสดงเจตนาสละการครอบครองบ้านดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยขออาศัยอยู่ในบ้านพิพาทต่อมานั้น เป็นการครอบครองแทนโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสวน 1 แปลง พร้อมบ้านเลขที่ 313 หนึ่งหลังซึ่งโจทก์ซื้อมาจากจำเลยตามสำเนาสัญญาซื้อขายท้ายฟ้อง เมื่อขายแล้วจำเลยขออาศัยอยู่ในบ้าน 1 เดือน ครบกำหนดจำเลยไม่ยอมออกไป ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร

จำเลยให้การว่า จำเลยขายที่ดินและบ้านให้โจทก์เพราะโจทก์หลอกลวงว่าจะเข้าครอบครองทรัพย์ก็ต่อเมื่อจำเลยตาย ความจริงโจทก์เจตนาจะขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท เมื่อจำเลยทราบจึงปฏิเสธไม่ยอมขายและไม่ยอมส่งมอบที่ดินและบ้านให้โจทก์ โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินและบ้าน จำเลยไม่เคยขออาศัยโจทก์ สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้จดทะเบียน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินบริเวณที่เรียกว่า ท่าวังหินตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเดิมใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนกสิกรรม ต่อมาโรงเรียนนี้ย้ายไปตั้งที่อื่น ที่ดินว่างอยู่ จึงมีราษฎรเข้าไปอาศัย จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินนี้ส่วนหนึ่งและปลูกบ้านอยู่อาศัยคือบ้านพิพาทคดีนี้ ต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้โจทก์ทั้งโจทก์จำเลยต่างทราบแล้วว่าที่ดินนี้เป็นที่ดินของทางราชการ ราษฎรไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ได้ การซื้อขายทำหนังสือซื้อขายกันเอง จำเลยรับชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว และจำเลยจะต้องส่งมอบทรัพย์ที่ขายให้โจทก์ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา แต่จำเลยยังคงอยู่อาศัยในบ้านพิพาทตลอดมาจนบัดนี้ ปัญหาที่ว่าโจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า บ้านพิพาทปลูกสร้างในที่สาธารณะ จำเลยหามีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทไม่ คงมีแต่สิทธิครอบครองเท่านั้น แม้การซื้อขายจะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่ปรากฏตามสัญญาซื้อขายว่าจำเลยยอมมอบทรัพย์สินให้แก่โจทก์เป็นการแสดงเจตนาสละการครอบครองบ้านพิพาท ทั้งยังได้ความจากผู้ใหญ่บ้านท่าวังหินพยานโจทก์ว่า จำเลยได้ขออยู่ในบ้านพิพาทต่อไปอีก 1 เดือนคดีจึงฟังได้ว่า จำเลยได้สละการครอบครองบ้านพิพาทให้โจทก์แล้ว การที่จำเลยขออาศัยอยู่ในบ้านพิพาทต่อมานั้นเป็นการครอบครองบ้านพิพาทแทนโจทก์ เมื่อโจทก์มีสิทธิครอบครองบ้านพิพาทก็ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทได้ ฯลฯ

พิพากษาแก้ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทตามฟ้อง ฯลฯ

Share