คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นตำรวจ มีหน้าที่ขับรถยนต์ของทางราชการกรมตำรวจจำเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจิ๊ปของจำเลยที่ 3 ไปราชการตามหน้าที่โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูรถก่อนจะขับออกไปว่าฝากระโปรงครอบหน้ารถอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ เมื่อรถยนต์คันจำเลยที่ 1 ขับแล่นสวนทางกับรถยนต์คันที่ อ. ขับซึ่งมีโจทก์นั่งมาข้างหน้าด้วยฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถคันจำเลยที่ 1 ขับได้หลุดไปปะทะกระจกหน้ารถคันที่โจทก์นั่ง แต่ทะลุไปถูกหน้าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุที่ฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถหลุดออกไปก็เพราะสปริงขอเกาะฝากระโปรงอ่อนและเบ้าที่รองรับโคนขอรั้งสึก ทำให้เบ้าหลวมเนื่องจากใช้มานานจึงเกิดการเสื่อมสภาพ เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปด้วยความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนพื้นถนนราดยางที่ไม่เรียบและมีลมพัดแรงจึงเกิดความสั่นสะเทือนอย่างแรง ทำให้ขอรั้งหลุดออกลมเข้าไปในฝากระโปรงหน้ารถเมื่อถูกลมแรงๆ จึงหลุดออกไปจากตัวรถซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องระมัดระวังตรวจตราทำให้อยู่ในสภาพดีเสียก่อนนำไปใช้ และจำเลยที่ 1 ก็ทราบแต่หาได้จัดการอย่างใดไม่ดังนี้ เหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เพราะไม่ใช่กระโปรงหน้ารถอยู่ในสภาพแข็งแรงเรียบร้อยตามสภาพแล้วเกิดจากภัยนอกอำนาจซึ่งไม่อาจรู้และป้องกันได้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์จิ๊ปของทางราชการไปในธุรกิจหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ไม่ตรวจดูสภาพรถยนต์ และฝากระโปรงครอบเครื่องจักรกลของรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ควบคุมให้เรียบร้อย เมื่อจำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง แรงปะทะของลมทำให้ฝากระโปรงหน้ารถยนต์เปิดขึ้น และหักออกจากตัวรถหลุดลอยมากระทบกระจกบังลมหน้ารถยนต์คันที่โจทก์นั่งสวนทางมาแตกทะลุเลยเข้าไปถูกบริเวณใบหน้าโจทก์ เป็นบาดแผลสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนรวม 50,000 บาท

จำเลยทั้งสามให้การว่า เหตุที่เกิดขึ้นมิใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 แต่เป็นเหตุสุดวิสัยนอกเหนืออำนาจของจำเลยที่ 1 ที่จะรู้และป้องกันได้

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายค่าสินไหมทดแทน และค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ 32,000 บาท

จำเลยที่ 1 ที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นตำรวจมีหน้าที่ขับรถยนต์ของทางราชการกรมตำรวจจำเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจิ๊ปของจำเลยที่ 3 ไปราชการ โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูรถก่อนจะขับออกไปว่าฝากระโปรงครอบหน้ารถอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ เมื่อรถยนต์คันจำเลยที่ 1 ขับ แล่นสวนทางกับรถยนต์คันนางสาวอนันต์ขับ โดยมีโจทก์นั่งมาข้างหน้าด้วย ฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถคันจำเลยที่ 1 ขับได้หลุดไปปะทะกระจกหน้ารถคันที่โจทก์นั่งแตกทะลุไปถูกหน้าโจทก์อย่างแรงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุที่ฝากระโปรงครอบหน้ารถหลุดออกไปเกิดจากสปริงขอเกาะฝากระโปรงครอบหน้ารถอ่อน และเบ้าที่รองรับโคนขอรั้งสึกทำให้เบ้าหลวม เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปด้วยความเร็วชั่วโมงละ 50 – 60กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนพื้นถนนที่ไม่เรียบและมีลมพัดแรง จึงเกิดความสั่นสะเทือนอย่างแรง ทำให้ขอรั้งหลุดออก ลมเข้าไปในฝากระโปรงครอบหน้ารถได้ ฝากระโปรงครอบหน้ารถถูกลมแรง ๆ จึงหลุดออกไปจากตัวรถ แล้ววินิจฉัยว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องระมัดระวังตรวจตราทำให้อยู่ในสภาพดีเสียก่อนนำมาใช้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ทราบแต่หาได้จัดการอย่างไรไม่ จะฟังว่าเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ เพราะไม่ใช่กระโปรงครอบหน้ารถอยู่ในสภาพแข็งเรียบร้อยตามสภาพแล้วเกิดจากภัยนอกอำนาจซึ่งไม่อาจรู้และป้องกันได้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

พิพากษายืน

Share