แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในเรื่องเช่าทรัพย์นั้น แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าผู้ให้เช่าจะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่า ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่าจึงเป็นผู้ให้เช่าได้ก็จริงอยู่ แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยปรากฏในเอกสารสัญญาเช่าท้ายฟ้องระบุชัดว่า ห้องพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ไม่ได้กล่าวถึงสิทธิอื่น เป็นการยืนยันว่าโจทก์มีอำนาจให้เช่าเพราะโจทก์เป็นเจ้าของแต่อย่างเดียว จำเลยจึงให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องพิพาท จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เพราะสำคัญผิดว่าโจทก์มีสิทธิให้จำเลยเช่า ความจริงโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่าห้องพิพาท และไม่มีสิทธิเก็บค่าเช่าทั้งจำเลยได้เอาค่าเช่าไปชำระแก่เจ้าของแท้จริงโดยตรงแล้ว มิได้ผิดนัดผิดสัญญา ดังนี้ ศาลควรจะต้องฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า หากโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์โจทก์มีสิทธิให้เช่าห้องพิพาทได้หรือไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1166-1168/2509
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เช่าห้องแถวจากโจทก์ จำเลยไม่ชำระค่าเช่าเป็นการผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแก่โจทก์จนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิห้องพิพาทและที่ดินที่ตั้งห้องพิพาท ห้องพิพาทและที่ดินเป็นกรรมสิทธิของผู้อื่น จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เพราะสำคัญผิดในสาระสำคัญว่าโจทก์มีสิทธิให้จำเลยเช่าห้องพิพาทได้ จำเลยเพิ่งทราบความจริงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิและไม่มีสิทธิให้เช่าทั้งไม่มีสิทธิเก็บค่าเช่าได้ จำเลยจึงชำระค่าเช่าแก่เจ้าของอันแท้จริง มิได้ผิดนัด สัญญาเช่าท้ายฟ้องเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง หนังสือบอกเลิกการเช่าของทนายโจทก์ไม่มีผลเป็นการบอกเลิกสัญญา ค่าเสียหายสูงเกินไป
วันชี้สองสถาน โจทก์แถลงขอสละข้อเรียกร้องค่าเสียหายที่เรียกเดือนละ500 บาท โดยขอเรียกค่าเสียหายเดือนละ 150 บาท ตามที่จำเลยสู้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยาน
ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยยื่นคำแถลงการณ์และขอถือเป็นคำโต้แย้งเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาด้วยว่า คดียังมีประเด็นที่ศาลจะต้องฟังพยานต่อไป ศาลสั่งงดสืบพยานไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ให้เช่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิห้องที่ให้เช่า จำเลยเข้ามาทำสัญญากับโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเข้าอยู่ในห้องพิพาทได้ตลอดมาก็ต้องชำระค่าเช่าแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่า จำเลยชำระให้ผู้อื่นก็ต้องถือว่าผิดสัญญา โจทก์มีอำนาจบอกเลิกสัญญาได้ พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเช่าและค่าเสียหายที่ค้างถึงวันฟ้องและค่าเสียหายจนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาท
จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิในห้องพิพาทจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เพราะสำคัญผิดว่าโจทก์มีสิทธิให้เช่าห้องพิพาทได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเอาค่าเช่าไปชำระแก่เจ้าของกรรมสิทธิแล้วจึงไม่ผิดสัญญาหรือผิดนัดชำระค่าเช่า คดียังต้องฟังพยานต่อไป จำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ได้ ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าในเรื่องเช่าทรัพย์นั้น แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าผู้ให้เช่าจะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิในทรัพย์สินที่ให้เช่า ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์สินที่ให้เช่าจึงเป็นผู้ให้เช่าได้ก็จริงอยู่ แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยปรากฏในเอกสารสัญญาเช่าท้ายฟ้องระบุชัดว่าห้องพิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้กล่าวถึงสิทธิอื่น เป็นการยืนยันว่าโจทก์มีอำนาจให้เช่าเพราะโจทก์เป็นเจ้าของแต่อย่างเดียว จำเลยจึงให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิห้องพิพาทจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เพราะสำคัญผิดว่าโจทก์มีสิทธิให้จำเลยเช่า ความจริงโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่าห้องพิพาท และไม่มีสิทธิเก็บค่าเช่าทั้งจำเลยได้เอาค่าเช่าไปชำระแก่เจ้าของแท้จริงโดยตรงแล้ว มิได้ผิดนัดผิดสัญญาดังนี้ ศาลควรจะต้องฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่าหากโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิโจทก์มีสิทธิให้เช่าห้องพิพาทได้หรือไม่ ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1166-1168/2509
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปความ