แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 จำนวน 3 ห่อ หนัก 4,825 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17,69 เป็นการบรรยายฟ้องตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคหนึ่งที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 เว้นแต่ได้รับอนุญาต”ซึ่งการมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีโทษตามมาตรา 69 วรรคสอง โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าฝิ่นดังกล่าวคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่หนึ่งร้อยกรัมขึ้นไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 17 วรรคสอง ซึ่งมีโทษตามมาตรา 69 วรรคสี่ หนักกว่าโทษตามมาตรา 69 วรรคสองดังนั้นแม้โจทก์จะนำสืบได้ว่า ฝิ่นที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมก็ตามศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคสี่ ซึ่งเกินไปกว่าที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2จำนวน 3 ห่อ หนัก 4,825 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมฝิ่นจำนวนดังกล่าว และกระเป๋าผ้าสีดำ 1 ใบ ที่ใช้บรรจุฝิ่นเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 17, 69, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 6, 10 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคแรก, 69 วรรคสองจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำคุก 2 ปี 6 เดือน ของกลางริบ โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 69 วรรคสี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 จำนวน 3 ห่อหนักรวม 4,825 กรัม ไว้ในครอบครองของจำเลยเพื่อจำหน่ายโจทก์ได้บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้วว่า จำเลยมีฝิ่นของกลางในคดีนี้ไว้เพื่อจำหน่าย โจทก์ไม่จำต้องบรรยายให้ชัดเจนถึงขนาดว่าฝิ่นของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด เพราะการคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เป็นเรื่องของความสะดวกเพื่อให้เข้าข้อสันนิษฐาน ตามนัยของมาตรา 17 วรรคสอง เท่านั้น มิใช่องค์ประกอบของความผิด โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยฟังได้ว่า จำเลยมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และโจทก์อ้างส่งรายงานการตรวจพิสูจน์ฝิ่นของกลางซึ่งคำนวณเป็นปริมาณมอร์ฟีนบริสุทธิ์เกินกว่า 100 กรัม ตามเอกสารหมาย จ.2 แล้ว จึงชอบที่ศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสี่ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 จำนวน 3 ห่อ หนัก 4,825 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17, 69คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการบรรยายฟ้องตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า”ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 เว้นแต่ได้รับอนุญาต” ซึ่งการมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีโทษตามมาตรา 69 วรรคสอง โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าฝิ่น ดังกล่าวคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่หนึ่งร้อยกรัมขึ้นไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 17 วรรคสอง ซึ่งมีโทษตามมาตรา 69 วรรคสี่ หนักกว่าโทษตามมาตรา 69 วรรคสองแต่อย่างใดดังนั้นแม้โจทก์จะนำสืบได้ว่าฝิ่นที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมดังที่โจทก์ฎีกาก็ตามศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคสี่ ซึ่งเกินไปกว่าที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 69 วรรคสองนั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน