คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกอีก 2 คนร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายโดยจำเลยได้กระตุกสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายสวมอยู่ที่คอสร้อยขาดออกจากกันตกติดอยู่ที่คอเสื้อของผู้เสียหายจำเลยยังเอาสร้อยไปไม่ได้จำเลยลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกสองคนมีมีดเป็นอาวุธร่วมกันปล้นทรัพย์โดยได้ฉกฉวยเอาสร้อยคอของผู้เสียหายไปซึ่งหน้า ใช้มีดเป็นอาวุธขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 340,83 และ 371

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยกระชากสร้อยคอจากผู้เสียหาย สร้อยคอขาดตกอยู่ที่คอเสื้อของผู้เสียหาย จำเลยเข้าแย่ง แต่ก็เอาไปไม่ได้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 ให้ลงโทษจำคุก 8 ปี และผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ปรับ 100 บาท รวมจำคุก 8 ปี ปรับ 100 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 4 ปี ปรับ 50 บาท ริบมีดของกลาง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความว่านางสาวลั้ง แซ่อั้ง ผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานสองล้อซึ่งมีนายเฮง แซ่อั้ง เป็นผู้ขับขี่ ออกจากร้านผู้เสียหายเพื่อไปซื้อของครั้นไปถึงที่เกิดเหตุ จำเลยกับพวกอีก 2 คนได้ร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยจำเลยได้กระตุกสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายสวมอยู่ที่คอ สร้อยขาดออกจากกันตกติดอยู่ที่คอเสื้อ ผู้เสียหายกระโดดลงจากรถ ร้องบอกให้นายเฮงช่วย จำเลยถือมีดปลายแหลมวิ่งไปที่ผู้เสียหายเพื่อจะแย่งเอาสร้อยนั้นอีก นายเฮงลงจากรถจะเข้าไปช่วยผู้เสียหาย จำเลยเงื้อมีดจะแทงนายเฮง พอดีรถวิทยุของตำรวจแล่นผ่านมา จำเลยกับพวกจึงวิ่งหนีไป ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยกระตุกสร้อยคอผู้เสียหาย แม้สร้อยได้ขาดออกจากกันแล้ว แต่ก็ยังติดอยู่ที่คอเสื้อของผู้เสียหาย จำเลยยังเอาสร้อยไปไม่ได้ จำเลยลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์เท่านั้น

พิพากษายืน

Share