แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยตกลงจ้างโจทก์ขนส่งมันสำปะหลังจากไร่เข้าสู่โรงงาน มีบัญชีต่อกันไว้และมีการตัดทอนบัญชีอันเกิดแต่กิจการระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกัน และชำระส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคนับเป็นบัญชีเดินสะพัด อายุความมีกำหนด10 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จดลงบัญชีกันไว้เป็นเงิน 33,494 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 31,767 บาท จำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่ามีจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันอยู่จริงเพียง29,030 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่เป็นหนี้แท้จริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงจ้างให้โจทก์ขนส่งมันสำปะหลังจากไร่เข้าสู่โรงงานโดยตรง ตกลงค่าจ้างตอบแทนตันละ 25 บาท ถึง 30 บาท โดยเปิดบัญชีเดินสะพัดต่อกัน โจทก์ทำการขนส่งมันสำปะหลังให้จำเลยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509ถึง ปี พ.ศ. 2513 จึงเลิกจ้าง เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2514 ได้คิดบัญชีกันปรากฏว่าจำเลยค้างค่าจ้างโจทก์เป็นเงิน 33,494 บาท จึงขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยจ้างและตกลงจ่ายค่าตอบแทน และไม่ได้ตกลงเปิดบัญชีเดินสะพัดกัน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ทั้งฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 31,767 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 29,030 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องกล่าวถึงการที่จำเลยมาตกลงจ้างโจทก์ทำการบรรทุกมันสำปะหลังส่งถึงโรงงานจำเลย โดยกำหนดราคาให้ตามน้ำหนักของมันและระยะทางที่นำส่ง ได้มีการหักค่าบรรทุกไว้ตอนที่จะขายมัน เมื่อคิดบัญชีกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ ขอให้ใช้ให้ เช่นนี้ เป็นการบรรยายถึงสภาพของข้อตกลงสัญญาที่จะให้จำเลยรับผิดพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนรายละเอียดอื่นเป็นข้อนำสืบต่อไปฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้ตกลงจ้างโจทก์บรรทุกมันจริง ปัญหาว่า ได้มีบัญชีเดินสะพัดต่อกันหรือไม่ ก็ปรากฏว่ามีบัญชีต่อกันไว้และมีการตัดทอนบัญชีอันเกิดแก่กิจการระหว่างโจทก์และจำเลย ถือได้ว่าเป็นบัญชีเดินสะพัด อายุความย่อมมีกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จดลงบัญชีกันไว้ตามเอกสารที่อ้างอิง เป็นเงิน 33,494 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตรวจหลักฐานแล้ว และเห็นว่ามีจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันอยู่จริง เพียง 29,030 บาทศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่เป็นหนี้แท้จริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 หาเป็นการนอกฟ้องนอกคำขอของโจทก์ดังที่จำเลยฎีกาไม่
พิพากษายืน