แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้เดิมนายเซ่งกั้วจะอยู่ในตึกพิพาทระหว่างอายุสัญญาเช่าที่ห้างหุ้นส่วนจำเลยได้ทำกับโจทก์ โดยนายเซ่งกั้วเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ อันเป็นการอยู่ในฐานะเป็นบริวารของจำเลยมาก่อนก็ตาม แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนจำเลยเลิกกิจการตามวัตถุประสงค์แห่งการเช่าและกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าที่ผูกพันห้างหุ้นส่วนจำเลยหมดไปแล้ว แม้ถึงว่าห้างหุ้นส่วนจำเลยจะยังไม่ได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนตามกฎหมายก็ดี หากโจทก์ได้ตกลงให้นายเซ่งกั้วเช่าแม้ด้วยวาจาและนายเซ่งกั้วเปิดห้องพิพาทเป็นร้านขายอาหารชื่อพัฒนาหาร และทั้งโจทก์ก็ออกใบเสร็จรับเงินค่าเช่าเป็นรับเงินจากร้านพัฒนาหาร ไม่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจำเลยตามวัตถุประสงค์เดิมแต่อย่างใดเลย เช่นนี้ เป็นการตกลงกันใหม่ ระหว่างโจทก์กับนายเซ่งกั้วเจ้าของกิจการร้านพัฒนาหารแล้ว นายเซ่งกั้วจึงไม่ใช่บริวารของห้างหุ้นส่วนจำเลยเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องบริษัทฟาร์แลนด์ ฯ โดยนายเซ่งกั้วหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นจำเลยขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกเช่า
นายเซ่งกั้ว ยื่นคำให้การว่า บริษัทฟาร์แลนด์ฯ ได้เลิกล้มไปนาน ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลแล้ว โจทก์ได้ให้นายเซ่งกั้วกับครอบครัวเช่าตึกพิพาทเป็นเคหะที่อยู่อาศัยเป็นส่วนตัว ผิดจากที่ตกลงให้จำเลยเช่าทำการค้าเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ ครั้นโจทก์แถลงว่าโจทก์ฟ้องบริษัทฟาร์แลนด์ฯ เท่านั้นมิได้ฟ้องนายเซ่งกั้วเป็นส่วนตัว ทนายนายเซ่งกั้วจึงขอถอนคำให้การศาลแพ่งอนุญาต
ศาลแพ่งสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาเมื่อสืบพยานโจทก์แล้ว นายเซ่งกั้วยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยด้วย ศาลแพ่งสั่งว่าโจทก์ฟ้องไม่เกี่ยวถึงผู้ร้อง ผู้ร้องจะมีสิทธิอย่างใดในห้องรายนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งยังไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิของผู้เช่าในขณะนี้ ไม่อนุญาตให้สอดเข้าเป็นจำเลย
ศาลแพ่งพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า นายเซ่งกั้วกับครอบครัวซึ่งเป็นบริวารของจำเลยยังไม่ออกไปและนายเซ่งกั้วในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยไม่ได้ขนย้ายออกไป ขอให้เรียกมาสอบถามและลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล
นายเซ่งกั้วยื่นคำร้องว่า แม้ตนเคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการขณะบริษัทจำเลยยังไม่เลิกล้มก็จริง แต่เมื่อเลิกล้มไปแล้วตนกับครอบครัวได้เช่าอยู่อาศัยห้องพิพาทตลอดมา และขายอาหารหน้าร้านบ้างเล็กน้อย ใช้ชื่อว่าร้านพัฒนาหาร หาใช่บริษัทฟาร์แลนด์ไม่ ตนเป็นผู้เช่าห้องพิพาทขึ้นใหม่ ขอสอดเข้าเป็นคู่ความชั้นบังคับคดีว่า ตนมีสิทธิโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลแพ่งสืบพยานแล้วมีคำสั่งว่า ฟังไม่ได้ว่านายเซ่งกั้วได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์เป็นส่วนตัว หรือในนามร้านพัฒนาหารจำเลยยังคงเป็นผู้เช่าอยู่ นายเซ่งกั้วเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงเป็นบริวาร ไม่มีอำนาจและสิทธิจะอยู่ในตึกเช่าของโจทก์ต่อไปให้นายเซ่งกั้วและครอบครัวออกจากตึกพิพาทของโจทก์
นายเซ่งกั้วอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเซ่งกั้วฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้เดิมนายเซ่งกั้วจะอยู่ในตึกรายนี้ระหว่างอายุสัญญาเช่าที่ห้างหุ้นส่วนจำเลยได้ทำกับโจทก์เป็นการอยู่ในฐานะเป็นบริวารของจำเลยมาก่อนก็ดี แต่ตามพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ คือ เมื่อห้างหุ้นส่วนจำเลยเลิกกิจการตามวัตถุประสงค์แห่งการเช่าและกำหนดตามสัญญาเช่าที่ผูกพันห้างหุ้นส่วนจำเลยหมดไปแล้ว ถึงแม้ห้างหุ้นส่วนจำเลยจะยังไม่ได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนตามกฎหมายก็ดี เมื่อโจทก์ได้ตกลงให้นายเซ่งกั้วเช่าด้วยวาจาและออกใบเสร็จรับเงินค่าเช่าเป็นรับเงินจากร้านพัฒนาหารไม่เกี่ยวกับจำเลยตามวัตถุประสงค์เดิมแต่อย่างใดเลย เช่นนี้ เป็นการตกลงใหม่กับนายเซ่งกั้วเจ้าของกิจการร้านพัฒนาหารแล้ว นายเซ่งกั้วจึงไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นบริวารของจำเลยต่อไป คำพิพากษาในคดีนี้จึงใช้บังคับแก่นายเซ่งกั้วเจ้าของกิจการร้านค้าพัฒนาหารไม่ได้ ในชั้นนี้ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อที่นายเซ่งกั้วอ้างสิทธิการเช่าของตนว่าได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ไม่ได้ผิดสัญญาเช่าเป็นกรณีที่โจทก์จะต้องว่ากล่าวกับนายเซ่งกั้วโดยตรงเสียก่อน
พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้บังคับคดีแก่นายเซ่งกั้วกับครอบครัวออกจากตึกรายนี้ ในฐานะเป็นบริวารของจำเลยนั้นเสีย