แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต ให้คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่ในกรณีที่มีกฎหมายหรือประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยยินยอมให้ธนาคารเรียกดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าที่กำหนดไว้ จำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยได้และให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติในการคิดดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีของโจทก์ แต่ข้อตกลงดังกล่าวมิได้กำหนดให้โจทก์มีสิทธิปรับอัตราดอกเบี้ยได้พลการเองโดยมิต้องแจ้งให้จำเลยทราบก่อน เมื่อโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบก่อนว่าจะปรับดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละเท่าใดแล้วจึงต้องถือว่าโจทก์ยังคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี ตามข้อสัญญาเดิม โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้โดยการประกาศหนังสือพิมพ์ระบุว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่พร้อมดอกเบี้ยให้นำมาชำระภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2535ซึ่งโจทก์ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันที่ 16ตุลาคม 2535 เมื่อจำเลยไม่นำเงินมาชำระตามกำหนดที่โจทก์ทวงถาม สัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำบัตรเครดิตวีซ่าไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ โจทก์ออกเงินแทนไปก่อนและแจ้งให้จำเลยทราบปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2534 จำเลยเป็นหนี้โจทก์184,124.75 บาท หลังจากนั้นจำเลยก็ยังใช้บัตรเครดิตวีซ่าอีกโจทก์แจ้งให้จำเลยนำเงินเข้าบัญชีดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์มอบให้ทนายความบอกเลิกบัญชีเดินสะพัดและยกเลิกการใช้บัตรเครดิตวีซ่า ทั้งได้ประกาศทางหนังสือพิมพ์ให้จำเลยชำระหนี้ด้วย เมื่อหักทอนตามบัญชีกระแสรายวันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2534 อันเป็นวันเริ่มเป็นหนี้จนถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2535 อันเป็นวันครบกำหนดตามประกาศหนังสือพิมพ์ จำเลยเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี 433,393.20 บาทและโจทก์คิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นในอัตราดังกล่าว นับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2535 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2536 เป็นเงิน 77,921.62 บาทและในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2536จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 43,885.40 บาท รวมแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 555,200.22 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 555,200.22 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี จากต้นเงิน 433,393.20 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 96,479 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2535จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่า โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยในจำนวนเงิน 96,479 บาท ได้ในอัตราร้อยละเท่าใดเห็นว่า ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตเอกสารหมายจ.4 ข้อ 5.2 ให้คิดดอกเบี้ยจากผู้ใช้บริการในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีแต่ในกรณีที่มีกฎหมายหรือประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยยินยอมให้ธนาคารเรียกดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าที่กำหนดไว้นี้ผู้ใช้บริการตกลงยินยอมให้ธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายหรือประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยได้และให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติในการคิดดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีของธนาคารจากบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมิได้กำหนดให้ธนาคารโจทก์มีสิทธิปรับอัตราดอกเบี้ยได้พลการเองโดยมิต้องแจ้งให้จำเลยทราบก่อนแต่อย่างใดเมื่อโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบก่อนว่าจะปรับดอกเบี้ยกับจำเลยเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละเท่าใดแล้ว จึงต้องถือว่าโจทก์ยังคิดดอกเบี้ยแก่จำเลยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามข้อสัญญาที่กำหนดไว้เดิมและมีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยนับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2534 ถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2535 ตามที่โจทก์ขอมาได้หรือไม่นั้นเห็นว่า โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้โดยการประกาศหนังสือพิมพ์ตามเอกสารหมาย จ.12 โดยระบุว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่พร้อมดอกเบี้ยอันจะพึงเกิดขึ้นอีกมาชำระภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไป โดยในขณะนั้นโจทก์ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามสัญญาจนถึงวันที่16 ตุลาคม 2535 แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบว่าคิดดอกเบี้ยทบต้นจากเงินดังกล่าวแสดงต่อศาลให้เป็นที่แจ้งชัดว่า เริ่มต้นคิดดอกเบี้ยจำนวนใด ตั้งแต่เมื่อใด จึงเห็นสมควรให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันที่ 7 มกราคม 2534 เป็นต้นไปในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 96,479 บาท จนถึงวันที่16 ตุลาคม 2535 และภายหลังจากนั้นเมื่อจำเลยไม่นำเงินมาชำระตามกำหนดที่โจทก์ทวงถาม สัญญาจึงเป็นอันเลิกกันตามเอกสารหมาย จ.12โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2535เป็นต้นไป ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไปโดยไม่ทบต้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินโจทก์จำนวน 96,479 บาทพร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม2534 ถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2535 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์