คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 17แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 ให้ทรัพย์สินของบุคคลที่ระบุในคำสั่งซึ่งอายัดไว้แล้วตกเป็นของรัฐ หากบุคคลใดอ้างว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตน ให้ยื่นคำร้องขอคืนต่อคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น เมื่อตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวระบุว่าในการที่คณะกรรมการเห็นว่าผู้ยื่นคำร้องไม่อาจพิสูจน์ให้เป็นที่พอใจได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ตนได้มาโดยสุจริต โดยชอบ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดไม่คืนทรัพย์สินให้ และการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด ดังนี้ ตามปกติผู้ยื่นคำร้องหาอาจนำเรื่องราวมาฟ้องร้องต่อศาลเกี่ยวกับการวินิจฉัยชี้ขาดอันเป็นดุลพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการได้อีกไม่ เว้นแต่จะปรากฏว่าการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการนั้นเป็นการใช้โดยไม่สุจริตเพื่อกลั่นแกล้งผู้ยื่นคำร้อง หรือเป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดอันขัดแย้งต่อพยานหลักฐาน
แม้โจทก์จะกล่าวอ้างในฟ้องที่เรียกทรัพย์ซึ่งคณะกรรมการไม่คืนให้โจทก์ว่า การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งในด้านกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อโจทก์โดยชอบด้วยหลักนิติศาสตร์ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่สุจริตก็ตาม แต่เหตุผลที่โจทก์อ้างว่าคำวินิจฉัยนั้น ไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริต ก็ปรากฏเพียงว่าคณะกรรมการมิได้สอบสวนหรือพิสูจน์ หรือไม่เรียกโจทก์ไปสอบสวนหรือพิสูจน์ก่อน ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีพยานหลักฐานพร้อม เหตุผลเพียงเท่านี้จะถือว่าคณะกรรมการกระทำโดยไม่ชอบด้วยเหตุผล และไม่สุจริตหาได้ไม่ เพราะเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ยื่นเพื่อขอรับทรัพย์สินคืนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ คณะกรรมการก็ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดไปได้ทีเดียว หาจำต้องทำการสอบสวนหรือพิสูจน์ต่อไปอีกไม่ ศาลจึงชอบที่จะไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของจอมพลถนอมกับพวก ต่อมาจำเลยที่ 3 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 ได้ออกคำสั่งให้ทรัพย์สินของจอมพลถนอมกับพวกที่อายัดไว้นั้นตกเป็นของรัฐ และให้กระทรวงการคลังจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในนามของรัฐ หากบุคคลใดอ้างว่าทรัพย์สินที่ตกเป็นของรัฐตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเป็นของตนให้ยื่นคำร้องพร้อมด้วยหลักฐานต่อคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นภายใน60 วัน ถ้าผู้ร้องพิสูจน์ได้ว่าเป็นทรัพย์สินของตนที่ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบก็ให้คณะกรรมการโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงการคลังคืนทรัพย์แก่ผู้ยื่นคำร้อง จำเลยที่ 3 ได้ออกคำสั่งตั้งจำเลยที่ 4 ถึงที่ 10 เป็นคณะกรรมการและจำเลยที่ 10 เป็นเลขานุการ คณะกรรมการและเจ้าพนักงานที่แต่งตั้งได้อายัดทรัพย์โจทก์ไป โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการขอคืนทรัพย์ของโจทก์ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์ที่ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ เป็นทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับสามี จำเลยที่ 4 ถึงที่ 10 พิจารณาคำร้องของโจทก์แล้ว ได้มีหนังสือตอบปฏิเสธไม่คืนให้โจทก์ อ้างว่าโจทก์มิได้พิสูจน์ให้เป็นที่พอใจของกรรมการว่าเป็นสินสมรสที่โจทก์มีส่วนร่วมด้วย เมื่อสามีโจทก์ได้ทำพินัยกรรมให้ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิในทรัพย์นี้ ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยเหตุผลและขัดต่อคำสั่งนายกรัฐมนตรี เพราะทรัพย์นั้นเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับสามี เมื่อสามีโจทก์ถึงแก่กรรม สินสมรสนั้นตกเป็นของโจทก์ 1 ส่วน ตกเป็นของสามี 2 ส่วน สามีโจทก์ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร พินัยกรรมจึงมีผลเฉพาะสินสมรสส่วนของสามีโจทก์เท่านั้น สินสมรสส่วนของโจทก์หาตกเป็นของท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ด้วยไม่ ทรัพย์สินของโจทก์ดังกล่าวโจทก์ได้มาโดยสุจริต โดยชอบ การพิจารณาของคณะกรรมการโดยจำเลยที่ 4 ถึงที่ 10 เป็นการวินิจฉัยที่ไม่สุจริต เพราะมิได้สอบสวนหรือพิสูจน์ว่าโจทก์ได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยไม่สุจริตไม่ชอบอย่างไร ไม่ให้โจทก์พิสูจน์หรือเรียกโจทก์ไปสอบสวนพิสูจน์ ทั้ง ๆ ที่โจทก์เสนอที่จะนำพยานหลักฐานเข้าพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ นอกจากนี้คณะกรรมการยังถือเอาเหตุผลทางการเมืองเป็นหลักในการพิจารณา โดยมิได้ถือเอาเหตุผลทางกฎหมายเป็นหลักวินิจฉัย โจทก์มิใช่บุคคลผู้อยู่ในข่ายตามบทบัญญัติมาตรา 17 คำสั่งของนายกรัฐมนตรีทั้งสองฉบับไม่มีผลบังคับต่อโจทก์ จำเลยทั้งหมดจึงต้องรับผิดคืนทรัพย์ให้โจทก์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ คือจำเลยที่ 4 ถึงที่ 10 ปัญหาว่าโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 4 ถึงที่ 10 ได้หรือไม่ ปรากฏตามข้อ 7 ของคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ สลร.39/2517ซึ่งสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพุทธศักราช 2515 ว่า ในการที่คณะกรรมการเห็นว่าผู้ยื่นคำร้องไม่อาจพิสูจน์ให้เป็นที่พอใจได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ตนได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ ให้คณะกรรมการบันทึกการวินิจฉัยชี้ขาดการไม่คืนทรัพย์สินให้ปรากฏไว้เป็นหลักฐาน และให้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคำร้องทราบถึงการวินิจฉัยของคณะกรรมการโดยไม่ชักช้าการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด เมื่อคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวให้การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการเป็นที่สุดเช่นนี้ ตามปกติผู้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการหาอาจนำเรื่องนั้นมาฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับการวินิจฉัยชี้ขาดอันเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการได้อีกไม่ เว้นแต่ปรากฏว่าการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการนั้นเป็นการใช้โดยไม่สุจริตเพื่อกลั่นแกล้งผู้ยื่นคำร้อง หรือเป็นการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดอันขัดแย้งต่อพยานหลักฐาน คดีนี้แม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่าการวินิจฉัยของคณะกรรมการเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่ให้ความเป็นธรรมต่อโจทก์โดยชอบด้วยหลักนิติศาสตร์ ตามนัยแห่งกระบวนการยุติธรรม เป็นการวินิจฉัยที่ไม่สุจริตก็ตาม แต่เหตุผลที่โจทก์อ้างว่าคำวินิจฉัยนั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริต ก็ปรากฏเพียงว่าคณะกรรมการมิได้สอบสวนหรือพิสูจน์หรือไม่ได้เรียกโจทก์ไปสอบสวนหรือพิสูจน์ก่อน ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีพยานหลักฐานว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์ที่เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับสามีและคณะกรรมการถือเอาเหตุผลทางการเมืองเป็นหลักในการวินิจฉัยเท่านั้น เหตุผลเพียงเท่านี้จะถือว่าคณะกรรมการกระทำการโดยไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริตหาได้ไม่เพราะตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ สลร.39/2517 ข้อ 7 ระบุไว้ว่า เมื่อคณะกรรมการเห็นว่าผู้ร้องไม่อาจพิสูจน์ให้เป็นที่พอใจว่าเป็นทรัพย์สินที่ตนได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ คณะกรรมการก็มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดไม่คืนทรัพย์สินให้ได้ โดยเพียงแต่บันทึกการวินิจฉัยชี้ขาดให้ปรากฏเป็นหลักฐานไว้เท่านั้น ดังนั้นเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ยื่นเพื่อขอรับทรัพย์สินคืนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ คณะกรรมการก็ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดไปได้ทีเดียว หาจำต้องทำการสอบสวนหรือพิสูจน์ต่อไปอีกไม่ ส่วนคณะกรรมการจะใช้เหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลทางกฎหมาย ในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดนั้น ก็เป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการจะอ้างว่าไม่สุจริตมิได้ คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการจึงเป็นที่สุด โจทก์จะนำคดีมาฟ้องโต้แย้งคำวินิจฉัยชี้ขาดนั้นอีกมิได้ เมื่อโจทก์ไม่อาจฟ้องจำเลยที่ 4 ถึงที่ 10 ให้ต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงไม่อยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจึงชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share