คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการมีสิทธิยกคดีขึ้นกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 ได้โดยผู้เยาว์ไม่ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน
จำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับมรดกเสียเลยแต่ยอมให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกโดยเกี่ยงกันในเรื่องจำนวนเนื้อที่ที่จะแบ่งให้มากหรือน้อยเท่านั้นจนกระทั่งล่วงเลยกำหนดอายุความมรดก 1 ปี ก็ยังโต้เถียงกันแต่ในเรื่องจำนวนเนื้อที่ และขัดข้องในการที่ให้โจทก์บางคนซึ่งเป็นผู้เยาว์ต้องมีผู้แทนโดยชอบธรรมร้องขออนุญาตต่อศาลก่อนเท่านั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความโดยปริยายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 จำเลยจึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้
ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 บัญญัติให้ผู้เยาว์จะเสนอข้อหาต่อศาลได้โดยได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน และการให้ความยินยอมเช่นนี้ต้องทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลนั้นเพื่อรวมไว้ในสำนวนความ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เยาว์ใช้สิทธิฟ้องร้องนั่นเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอรับมรดกที่พิพาท

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยได้ครอบครองปรปักษ์เกิน 10 ปีย่อมได้กรรมสิทธิ์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง แต่ฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความมรดก พิพากษากลับเป็นว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ผู้เป็นบุตร จำเลยทั้งสองผู้เป็นบิดามารดาและนายเขียวผู้เป็นสามี ให้แบ่งที่พิพาทเป็น 12 ส่วนให้โจทก์ทั้ง 9 และจำเลยทั้งสองคนละส่วนเท่า ๆ กัน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นข้อแรกที่โต้เถียงกันมีว่า พนักงานอัยการ จะมีอำนาจยกคดีขึ้นว่ากล่าวบุพการีแทนผู้เยาว์โดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อำนาจปกครองเสียก่อนหรือไม่นั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรืออาญาไม่ได้แต่เมื่อผู้นั้นร้องขอพนักงานอัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้” คำว่า พนักงานอัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้ย่อมหมายว่า พนักงานอัยการย่อมจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวได้โดยไม่จำเป็นต้องให้บุตรผู้เยาว์ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 21 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะไม่เช่นนั้นในกรณีที่บุตรผู้เยาว์มีข้อพิพาทกับบิดามารดา บุตรผู้เยาว์ย่อมจะไม่มีทางได้รับความยินยอมจากบิดามารดาเป็นแน่ และจะเลยทำให้พนักงานอัยการไม่มีทางจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวเอากับบิดามารดาของบุตรผู้เยาว์ อีกประการหนึ่งการที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 บัญญัติให้ผู้เยาว์เสนอข้อหาต่อศาลได้โดยได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน และการให้ความยินยอมเช่นนี้ต้องทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลนั้น เพื่อรวมไว้ในสำนวนความก็เป็นเรื่องที่ผู้เยาว์ใช้สิทธิฟ้องร้องนั่นเอง เมื่อมีกฎหมายห้ามมิให้ผู้เยาว์ฟ้องบุพการีของตน แม้จะได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก็ไม่ได้จึงเห็นได้ว่าพนักงานอัยการมีสิทธิยกคดีขึ้นว่ากล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 ได้ โดยผู้เยาว์ไม่ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน

โจทก์ฟ้องคดีเมื่อนางสงวนเจ้ามรดกตายเกิน 1 ปีแล้ว จึงมีปัญหาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความมรดกหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่านางสงวนตายเมื่อ 1 สิงหาคม 2504 วันที่ 25 เมษายน 2505 นางสาวสมัยโจทก์ได้ยื่นคำขอรับมรดกที่พิพาท โจทก์อีก 8 คน นายเขียวและจำเลยทั้งสองต่างยื่นคำคัดค้านภายในกำหนดอายุความ 1 ปี วันที่ 3 กรกฎาคม 2505 เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการเปรียบเทียบฝ่ายจำเลยจะเอาส่วนแบ่ง 184 ตารางวา และได้เลื่อนไปเพื่อทำความตกลงกันอีกหลายครั้งจนวันที่ 7 สิงหาคม 2505 ผู้ขอและผู้คัดค้านได้ไปที่สำนักงานที่ดิน เพื่อให้เจ้าพนักงานเปรียบเทียบแต่เจ้าพนักงานเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เยาว์อยู่ 6 คน ต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ขออนุญาตต่อศาล เมื่อมีหลักฐานมาแสดงเจ้าพนักงานที่ดินจึงจะดำเนินการเปรียบเทียบให้ พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าเมื่อเกินกำหนดอายุความมรดก 1 ปีแล้ว จำเลยก็ยังคงยอมให้โจทก์และนายเขียวได้รับส่วนมรดกรายนี้เป็นแต่เกี่ยงในเรื่องจำนวนเนื้อที่จะให้มากหรือน้อยเท่านั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 จำเลยจึงยกอายุความว่า โจทก์มิได้ฟ้องร้องเรียกมรดกภายใน 1 ปี นับแต่นางสงวนตายขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ตามนัยฎีกาที่ 1607/2505 ระหว่าง นายที ชัยดา กับพวก โจทก์ นายสาลีชัยดา กับพวก จำเลย

พิพากษายืน

Share