คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5877/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยอธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจมิได้เป็นคณะในคำสั่งนั้นหากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต่อไป จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลถึงอธิบดีผู้พิพากษานั้น ภายใน 7 วันเพื่อให้มีคำสั่งยืนตามหรือกลับคำสั่งของศาลชั้นต้นตามมาตรา 230 วรรคสาม แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ กลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์แล้วโดยอ้างเหตุว่าจะได้มีเวลาขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นอีกคนหนึ่งรับรองให้อุทธรณ์ จึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยและไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลย

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินโจทก์ต่อไปและให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเดือนละ 200 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2541ต่อมาวันที่ 1 กันยายน 2541 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดอุทธรณ์และไม่ใช่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1มีว่า มีเหตุสุดวิสัยและมีพฤติการณ์พิเศษที่จะขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์พร้อมยื่นคำร้องขอให้นายเจษฎา ยวงทองผู้พิพากษาซึ่งได้นั่งพิจารณาคดีนี้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ข้อเท็จจริง นายเจษฎาไม่รับรองให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 โดยอธิบดีผู้พิพากษาภาค 8 มิได้เป็นคณะในคำสั่งนั้น หากจำเลยที่ 1ประสงค์จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต่อไป จำเลยที่ 1ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลถึงอธิบดีผู้พิพากษาภาค 8 ภายใน 7 วันเพื่อให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 8 มีคำสั่งยืนตามหรือกลับคำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230วรรคสาม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีเวลาที่จะกระทำได้ แต่จำเลยที่ 1หาได้ดำเนินการตามที่กฎหมายให้ระยะเวลาไว้ไม่ กลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์แล้วโดยอ้างเหตุแต่เพียงว่าจะได้มีเวลาขอให้นายอนันต์ เสนคุ้ม ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนี้อีกคนหนึ่งรับรองให้อุทธรณ์ กรณีจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยและไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1

พิพากษายืน

Share