แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เช่าห้องแถวโอนสิทธิการเช่า แต่ผู้ให้เช่ายังไม่ได้อนุญาตตามที่ร้องขอผู้รับโอนเข้าอยู่ในห้องแถว ถือว่าผู้รับโอนเป็นบริวารของผู้เช่าศาลพิพากษาขับไล่ผู้เช่าจึงบังคับถึงบริวารด้วย คดีของบริวารที่ถูกศาลบังคับฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่6 พ.ศ.2518
ย่อยาว
ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 10 เดือนพฤษภาคมพุทธศักราช 2521
มูลคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากตึกแถวห้องเลขที่ 78/17, 78/18, 78/19, 78/20 ของโจทก์ซึ่งอยู่ที่บริเวณตลาดสดสถานีรถไฟบุรีรัมย์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมกับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหาย 16,596.25 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกเดือนละ 1,470 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากตึกแถวพิพาท
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์จริงแล้วให้นายยุกต์เช่าต่อโดยโจทก์มิได้ยินยอม จำเลยยอมรับผิดชดใช้เงินโจทก์ 16,592.25 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยจำเลยจะนำเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยชำระให้โจทก์ภายในเดือนมีนาคม 2520 หากผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีทันที จำเลยจะส่งมอบห้องพิพาทแก่โจทก์ในสิ้นเดือนตุลาคม 2519 พร้อมเงินจำนวน 5,145 บาทศาลพิพากษาตามยอม จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาสอบถามและบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยมาศาลตามนัดแถลงว่า ห้องพิพาทนี้ได้ให้นายยุกต์และครอบครัวเข้าอยู่อาศัยก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ จำเลยได้บอกให้ออกจากห้องพิพาทแล้ว แต่นายยุกต์ นางสมบูรณ์ นางสาวกีรติจันทนาและนายกิตติเทพ ไม่ยอมออกจากห้องพิพาท จึงไม่อาจส่งมอบห้องพิพาทให้โจทก์ได้ โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกบุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นบริวารของจำเลยมาสอบถาม นายยุกต์มาศาลตามนัดแถลงว่า คนอื่นที่ไม่ได้มาศาลเป็นภริยาและบุตรของนายุกต์ไม่ใช่บริวารของจำเลย โจทก์จำเลยแถลงว่านายยุกต์กับพวกเป็นบริวารของจำเลย นายยุกต์ นางสมบูรณ์ นางสาวกีรติจันทนานายกิตติเทพ ยื่นคำร้องว่าไม่ได้เป็นบริวารของจำเลย โดยอ้างว่าเดิมจำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2517 จำเลยโอนสิทธิการเช่าให้นายยุกต์ จำเลยและนายยุกต์ได้แจ้งการโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ทราบแล้ว นายยุกต์ได้ชำระเงินค่าธรรมเนียมการโอนให้แก่โจทก์ในอัตราห้องละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 1,500 บาท ทั้งนายยุกต์ก็ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมา นอกจากนี้เมื่อนายยุกต์ได้รับโอนสิทธิการเช่าจากจำเลยแล้วห้องพิพาทอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก นายยุกต์ได้แจ้งขอทำการซ่อมแซมต่อโจทก์และทำการติดตั้งต่อเติมไฟฟ้า น้ำประปา โดยนายยุกต์เป็นผู้ชำระค่าซ่อมแซมต่อเติมเองทั้งสิ้น โจทก์ตกลงให้นายยุกต์ทำการซ่อมแซ่มต่อเติมได้จึงถือได้ว่าโจทก์กับนายยุกต์มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน นายยุกต์กับผู้ร้องคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นภริยาและบุตรของนายยุกต์ จึงมีสิทธิครอบครองห้องพิพาทคำพิพากษาไม่ผูกพันผู้ร้องทุกคน ขอให้ศาลสั่งยกคำร้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์และผู้ร้องแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องทุกคนเป็นบริวารของจำเลย หมดสิทธิที่จะอยู่ในห้องพิพาทต่อไป มีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 200 บาท
ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 100 บาท
ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ฉะนั้นศาลฎีกาจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทจากโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.17 ต่อมาจำเลยกับผู้ร้องที่ 1 ได้ยื่นเรื่องราวขอโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้แก่ผู้ร้องที่ 1 แต่โจทก์ยังไม่ได้อนุญาตให้โอนสิทธิการเช่าและไม่ได้ทำสัญญาเช่าต่อกัน
พิเคราะห์แล้ว ที่ผู้ร้องฎีกาว่าสัญญาเช่าหมาย จ.17 เป็นสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลย ไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญา เมื่อจำเลยโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้แก่ผู้ร้อง สิทธินั้นย่อมโอนมายังผู้ร้องแล้ว เพียงแต่โจทก์ยังมิได้ทำเป็นหนังสืออนุญาตให้ถูกต้องตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับผู้ร้อง ผู้ร้องเข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลย จึงมิใช่บริวารของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาเช่าดังกล่าวผูกพันระหว่างโจทก์จำเลย โดยยอมให้สิทธิแก่จำเลยที่จะโอนสิทธิการเช่าให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่คนต่างด้าวได้ก็จริง แต่ต้องอยู่ภายในเงื่อนไขที่ว่าโจทก์จะอนุญาตให้โอนหรือไม่ก็ได้ ข้อ 9 ของสัญญาหมาย จ.17 ระบุไว้ชัดว่าการโอนสิทธิการเช่าต้องได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเมื่อโจทก์อนุญาตแล้วสิทธิการเช่าของจำเลยจึงจะโอนไปยังผู้รับโอน ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ยังไม่ได้อนุญาตให้โอนห้องพิพาทให้ผู้ร้อง การโอนสิทธิการเช่าจึงไม่เกิดขึ้นอันมีผลไปถึงผู้ร้องด้วยที่ผู้ร้องกระทำไปเกี่ยวกับห้องพิพาทในการติดต่อกับโจทก์ก็เป็นการกระทำในฐานะตัวแทนจำเลย ซึ่งก็ปรากฏชัดตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.16 แล้ว เมื่อสิทธิการเช่าของจำเลยไม่ได้โอนไปยังผู้ร้อง ผู้ร้องทั้งสี่เข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลย ผู้ร้องทุกคนจึงเป็นบริวารของจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่นั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาผู้ร้องทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ผู้ร้องทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 100 บาทแทนโจทก์