คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์แพ้คดีถูกยึดที่พิพาทขายทอดตลาด จำเลยเป็นผู้ซื้อได้แล้วมิได้ปล่อยปละละเลยที่พิพาทแต่อย่างใด ได้จัดการให้มีการออก น.ส.3 และจดทะเบียนรับโอนมาจากโจทก์ แม้โจทก์จะยึดถือที่พิพาทตลอดมาเกินกว่า 1 ปี แต่เป็นการยึดถือเพราะเป็นเจ้าของเดิมทำกินในที่พิพาทต่อเนื่องกันมา โดยจำเลยยังไม่ประสงค์จะขับไล่ให้ออกไปในระหว่างที่ยังดำเนินการเพื่อให้มีการจดทะเบียน ดังนี้เมื่อไม่มีพฤติการณ์ใดๆ ขึ้นใหม่อันแสดงให้เห็นว่าเป็นการแย่งการครอบครองแล้ว ย่อมจะนำกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์และสามีเป็นเจ้าของที่นามือเปล่า 2 แปลง ต่อมาโจทก์และนายสมหวังถูกจำเลยฟ้องให้ชำระหนี้ โจทก์และนายสมหวังแพ้คดี จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่นาดังกล่าวขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำสั่งศาล จำเลยเป็นผู้ซื้อได้ในปี พ.ศ. 2514 แต่แล้วจำเลยมิได้เข้ายึดถือครอบครองที่นานี้เลย โจทก์คงยึดถือครอบครองที่นาตลอดมา นับตั้งแต่ปีที่จำเลยซื้อจากการขายทอดตลาดมาจนบัดนี้เพื่อตัวโจทก์เอง เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์จึงย่อมมีสิทธิครอบครองในที่นาดังกล่าวนี้ ครั้นวันที่ 21 เมษายน 2518 จำเลยได้นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่นาเพื่อออกโฉนดโดยอ้างว่าเป็นของจำเลย เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ขอให้พิพากษาแสดงว่าที่นานี้โจทก์มีสิทธิครอบครองห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า นับตั้งแต่วันที่ศาลขายทอดตลาดนาพิพาทเมื่อปี พ.ศ. 2514 จำเลยได้ขอให้เจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วโอนมาเป็นชื่อจำเลยเมื่อปี พ.ศ. 2516 จำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาแต่ปี พ.ศ. 2514 โจทก์รับรู้สิทธิของจำเลยและไม่เคยโต้แย้ง โจทก์ขออาศัยทำกินในที่พิพาทไปพลางก่อน จำเลยให้อาศัยทำกินเพราะเห็นแก่มนุษยธรรมโจทก์จะอาศัยสิทธิครอบครองมาโต้แย้งสิทธิของจำเลยไม่ได้ทั้งอายุความครอบครองของโจทก์ยังไม่ถึง 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยซื้อที่นาพิพาททั้งสองแปลงนี้มาจากศาลเมื่อปี พ.ศ. 2514 แล้ว จำเลยมิได้ปล่อยปละละเลยที่พิพาทที่ซื้อมาจากศาลแต่ประการใด จำเลยได้จัดให้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับนาแปลงพิพาทตลอดมา เมื่อทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แล้ว จำเลยก็ได้จัดการจดทะเบียนรับโอนที่พิพาทมาจากโจทก์ตามคำสั่งศาลโดยถูกต้องตามกฎหมาย แม้โจทก์จะได้ยึดถือที่พิพาททั้งสองแปลงนี้ตลอดมาแต่ก็เป็นการยึดถือเพราะเป็นเจ้าของเดิมทำกินในที่พิพาทต่อเนื่องกันมา โดยจำเลยยังไม่ประสงค์จะขับไล่ในระหว่างที่จำเลยยังดำเนินการเพื่อให้ได้มีการจดทะเบียนโอนมาโดยสมบูรณ์ ที่โจทก์อ้างว่าเมื่อเดือนธันวาคม 2514 จำเลยเคยพาเจ้าหน้าที่ไปรังวัดที่พิพาททั้งสองแปลง แต่ไม่ได้รังวัดเพราะโจทก์คัดค้านอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และต่อมาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2515 โจทก์กับนายสมประสงค์บุตรชายได้ไปคัดค้านการที่จำเลยพาเจ้าหน้าที่ไปรังวัดไว้ต่อนายอำเภอนั้น ก็ปรากฏตามคำคัดค้านเอกสารหมาย จ.4 ว่า นายสมประสงค์ในฐานะส่วนตัวเป็นผู้คัดค้านโดยอ้างว่านายสมประสงค์เป็นทายาท จึงขอคัดค้านยับยั้งการโอน โจทก์เองหาได้คัดค้านด้วยไม่ การที่โจทก์คงยึดถือทำกินในที่พิพาทเรื่อยมาโดยไม่มีพฤติการณ์ใด ๆ ขึ้นใหม่อันแสดงให้เห็นว่าเป็นการแย่งการครอบครอง จึงจะนำเอาเรื่องกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share