แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คดีนี้ผู้ร้อง (จำเลยที่ 6) ฎีกาคำสั่ง หากให้มี การขายทอดตลาดทรัพย์ในขณะนี้จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเป็นอย่างมาก ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์ ดังกล่าว กำลังดำเนินกิจการเพื่อนำรายได้มาวางต่อ เจ้าพนักงานบังคับคดีชำระหนี้ให้แก่โจทก์อยู่แล้ว เพียงแต่ รอฟังคำสั่งของศาลฎีกาในเรื่องที่ผู้ร้องขอไต่สวนและ กำหนดเวลาเงื่อนไขชำระหนี้ใหม่เท่านั้นโปรดอนุญาตให้ ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 238)
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งเจ็ด ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ค้ำประกันและจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันใช้เงิน 9,615,600.81 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ในต้นเงิน 9,152,044.83 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2529 จนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนอง เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 6 ออกขายทอดตลาด หากได้เงิน ไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งเจ็ดออก ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ แต่จำเลยทั้งเจ็ด ไม่ชำระโจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดี ยึดทรัพย์สินของจำเลย เพื่อบังคับตามคำพิพากษา
วันที่ 26 กันยายน 2532 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้อง ว่าทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดนั้น จำเลยที่ 3 ใช้ประกอบอาชีพหารายได้ เช่น ใช้ทำผลิตภัณฑ์มันสำ ปะหลัง ใช้เป็นลานตากมันสำ ปะหลังและข้าวโพด เป็นต้น กิจการเหล่านี้มีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3ประสงค์จะดำเนินกิจการต่อไปขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไว้ชั่วคราวและแต่งตั้งให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307
ระหว่างการไต่สวนคำร้อง จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตาย และไม่มีทายาทร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
วันที่ 6 มิถุนายน 2534 จำเลยที่ 6 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 6เป็นบุตรจำเลยที่ 3 ซึ่งถึงแก่ความตายแล้ว ทรัพย์สินของจำเลยที่ 3ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดนั้น จำเลยที่ 6 เป็นผู้รักษาทรัพย์และใช้ประกอบการค้าพาณิชยกรรม โดยรับจ้างตากมันและข้าวโพด ส่วนโกดังเก็บสินค้าใช้รับฝากทรัพย์ มีรายได้สูงพอที่จะชำระหนี้ได้ ขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สิน ไว้ชั่วคราว และแต่งตั้งจำเลยที่ 6 เป็นผู้จัดการทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นทายาทของจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการหรือประกอบกิจการในทรัพย์ที่ถูกยึดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2531 โดยให้จำเลยที่ 6นำเงินรายได้มาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเดือนละ300,000 บาท นับแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2534 เป็นต้นไป หากผิดนัดเดือนใดให้บังคับคดีต่อไปทันที
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้อง (จำเลยที่ 6) ฎีกาคำสั่ง พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 223,224)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้อง (จำเลยที่ 6) ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 6 มิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษายกคำร้อง (อันดับ 180)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว กรณีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดจึงไม่มีเหตุต้องทุเลาการบังคับระหว่างฎีกา และไม่มีเหตุสมควรที่จะคุ้มครองประโยชน์มิให้บังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 ให้ยกคำร้อง