คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายที่ดินมีโฉนด แม้ผู้ซื้อจะชำระราคาเรียบร้อยและเข้าครอบครองที่ดินแล้วก็ตาม ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ การซื้อขายย่อมยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฉะนั้น ผู้ซื้อที่ดินโฉนดพิพาทส่วนหนึ่งตามกรณีข้างต้นนี้ย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินส่วนของผู้ซื้อซึ่งถูกโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดบังคับชำระหนี้ เพราะแม้แต่การยึดที่ดินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษากับผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์รวมโดยยังมิได้แบ่งกันเป็นส่วนสัดนั้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ยังมีสิทธิยึดได้ทั้งแปลงแต่คดีนี้ผู้ร้องยังไม่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่โจทก์นำยึด จึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์

ย่อยาว

คดีนี้ สืบเนื่องจากจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมที่ให้ชำระเงินตามสัญญาแก่โจทก์ โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดีโดยยึดที่ดินจำนองประกันหนี้จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่าที่ดินที่ถูกยึดส่วนหนึ่งเนื้อที่ 1 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยซื้อจากจำเลยที่ 2 และมีข้อสัญญาว่า จำเลยที่ 2จะไปจัดการแบ่งแยกส่วนที่ขายและจดทะเบียนใส่ชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ต่อไป ผู้ร้องไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินส่วนของผู้ร้องไปจำนองประกันหนี้ร่วมกับส่วนของจำเลยที่ 2 ไว้ ผู้ร้องอยู่ในฐานะขอให้จดทะเบียนสิทธิส่วนของผู้ร้องก่อนโจทก์ เพราะผู้ร้องได้ซื้อก่อนโจทก์รับจำนอง และผู้ร้องมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองเฉพาะส่วนที่ผู้ร้องซื้อด้วย เพราะโจทก์ไม่สุจริต ขอให้ศาลสั่งถอนการยึดที่ดินเฉพาะส่วนของผู้ร้อง

โจทก์ให้การว่า โจทก์รับจำนองที่ดินโฉนดพิพาทจากจำเลยที่ 2 ทั้งแปลงโดยไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของร่วม การซื้อขายที่ดินของผู้ร้องมิได้จดทะเบียน จึงไม่สมบูรณ์ ใช้ยันโจทก์ไม่ได้

ในวันนัดสืบพยาน ฝ่ายผู้ร้องเพิ่งยื่นบัญชีระบุพยาน โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องไปต่างประเทศและขอเลื่อนคดี โจทก์คัดค้าน ศาลไม่อนุญาตให้ยื่น และวินิจฉัยคดีโดยสั่งงดสืบพยานว่า สัญญาระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 2 เป็นสัญญาจะซื้อขาย และต้องถือว่าผู้ร้องยึดถือที่ดินไว้แทนผู้ขายซึ่งยังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ ผู้ร้องจะยกบุคคลสิทธิตามสัญญาขึ้นยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ส่วนข้อที่ผู้ร้องอ้างว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่สุจริต ไม่มีประเด็นสืบ พิพากษายกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานผู้ร้อง และไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่น พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์เองว่า ผู้ร้องได้ตกลงซื้อที่ดินโฉนดที่โจทก์นำยึดจากจำเลยที่ 2 ไว้จำนวน 1 ไร่ แต่ยังมิได้แบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์นั้น แม้ผู้ร้องจะชำระราคาและครอบครองที่ดินจำนวนเนื้อที่ 1 ไร่แล้ว การซื้อขายก็ยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฉะนั้น โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิยึดที่ดินทั้งแปลงของจำเลยที่ 2 ลูกหนี้ตามคำพิพากษาขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ เพราะแม้การยึดที่ดินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษามีกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับผู้อื่นโดยยังมิได้แบ่งปันเป็นส่วนสัด เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็มีสิทธิยึดได้ทั้งแปลงแต่คดีนี้ผู้ร้องยังไม่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่โจทก์ยึด และโจทก์มิได้ตกลงจะไม่ขายส่วนของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ ทั้งนี้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าควรอนุญาตให้ผู้ร้องยื่นบัญชีระบุพยานและนำสืบพยานได้หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงอย่างใด ส่วนข้อที่ผู้ร้องว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะขอให้จดทะเบียนสิทธิในที่ดินได้ก่อน จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องร้องขัดทรัพย์ มิใช่เรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองจึงไม่มีประเด็นพิพาทกันในคดีนี้

พิพากษายืน

Share