คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1710/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พฤติการณ์ที่นับว่าเป็นเรื่องสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
เมื่อสัญญาวางเงินมัดจำปรากฏชัดแจ้งว่าการซื้อขายที่ดินตกลงราคากัน 40,000 บาท โจทก์ได้วางเงินมัดจำให้จำเลยรับไปในวันทำสัญญา 30,000 บาท จำเลยจะอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบว่าได้รับเงินไปในวันทำสัญญาเพียง 5,000 บาท ย่อมเป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาวางเงินมัดจำที่จำเลยทำให้โจทก์ยึดถือไว้ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ในคดีฟ้องขอให้แสดงว่าสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะโดยอ้างว่าสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม เมื่อจำเลยมิได้โต้เถียงในเรื่องความประมาทเลินเล่อฯ ไว้ในคำให้การ ก็ไม่มีประเด็นที่ศาลจะพึงรับพิจารณาวินิจฉัยให้

ย่อยาว

คดีนี้ได้ความว่า จำเลยได้ตกลงขายที่ดินไม่มีโฉนดเนื้อที่ 100 ไร่ อยู่ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี ให้โจทก์เป็นราคา 40,000 บาท โจทก์ตกลงและวางเงินมัดจำให้จำเลยรับไปในวันทำสัญญาวางมัดจำ 30,000 บาทถ้วน ในสัญญาวางมัดจำระบุว่าจำเลยตกลงขายนา 100 ไร่ อาณาเขตทิศเหนือติดทางหลวง ทิศใต้ติดนานายขุน ทิศตะวันออกติดนานางหงวน ทิศตะวันตกติดนานายเลี่ยมก่อนซื้อจำเลยได้พาโจทก์ไปดูที่ชี้ที่ดินให้โจทก์ดู โจทก์เห็นสภาพของที่ดินตามที่จำเลยชี้เป็นที่เตียนทำประโยชน์ได้ดีจึงรับซื้อในราคาไร่ละ 400 บาท ครั้นไปทำสัญญาซื้อขายกันที่อำเภอและจำเลยนำกำนันรังวัดสอบเขตเพื่อส่งมอบที่ให้โจทก์ ปรากฏว่าอาณาเขตผิดจากที่ตกลงไว้ในสัญญาวางมัดจำโดยมีที่เตียนทำนาได้ 40 ไร่ รกร้าง 60 ไร่ ที่ทางตะวันตกที่ว่าติดกับที่นายเลี่ยมซึ่งรวมอยู่ในที่ที่จะขายกลับปรากฏว่าติดกับที่นายทุที่รก 60 ไร่ ที่จำเลยโอนให้ไม่เคยตกลงซื้อขายกันที่ดินตามสัญญาซื้อขายไม่ใช่ที่ดินตามที่จำเลยชี้ให้โจทก์ดูซึ่งโจทก์พอใจตกลงรับซื้อสภาพของที่ดินที่จำเลยชี้จะขายให้ผิดกับสภาพของที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขายกันมากมาย โจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ โดยอ้างว่า โจทก์ทำไปโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเหตุผลว่าตามพฤติการณ์แสดงว่าโจทก์เลินเล่ออย่างร้ายแรง นิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยไม่เป็นโมฆะ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาที่ว่าโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อที่ดินจากจำเลยโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมหรือไม่นั้นปรากฏตามสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.1 ว่าการซื้อขายที่ดินตกลงราคากัน 40,000 บาท โจทก์ได้วางเงินมัดจำให้จำเลยรับไปแล้วในวันทำสัญญา 30,000 บาท จำเลยจะอ้างและนำพยานบุคคลเข้าสืบว่าได้รับเงินไปในวันนั้นเพียง 5,000 บาท (โดยจำเลยต่อสู้ว่าตกลงขายที่นาไม่มีโฉนดเนื้อที่ 100 ไร่ในราคา 15,000 จำเลยมิได้รับเงินมัดจำ 30,000 บาท ความจริงโจทก์ออกเงินให้จำเลย 5,000 บาท ไปไถ่ถอนนาซึ่งจำนองไว้) ย่อมเป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาวางเงินมัดจำคดีต้องห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติรับฟังตามเอกสารหมาย จ.1 ว่าที่ดินที่โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายกันราคา40,000 บาท จำเลยได้รับเงินมัดจำไว้จากโจทก์แล้ว 30,000 บาทในวันทำสัญญา

การซื้อขายที่ดินตรงไหนตามคำพยานหลักฐานได้ความว่า โจทก์ไม่เคยเห็นที่ที่จำเลยขายให้มาก่อน จำเลยชี้สภาพที่ดินให้ดูอย่างไร โจทก์ยอมเข้าใจและถือเอาตามนั้นว่าเป็นที่ดินที่จะซื้อขายกัน การที่จะรับฟังเอกสารหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.1 ไปว่าที่ที่จะซื้อขายกันด้านตะวันตกติดที่นายทุ ไม่ใช่ติดที่นายเลี่ยมต้องมีพยานหลักฐานและเหตุผลประกอบกันมั่นคงแน่นแฟ้นชี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงจะหักล้างรับฟังได้ คงเนื่องจากโจทก์ได้เห็นสภาพที่ดินตามที่จำเลยชี้ให้ดูเป็นที่เตียนทำประโยชน์ได้ดีโจทก์จึงพอใจตกลงรับซื้อในเนื้อที่ 100 ไร่ราคา 40,000 บาท รูปคดีมีเหตุผลส่อให้เห็นว่าเมื่อไปชี้ให้โจทก์ดูก่อนตกลงซื้อขายจำเลยคงชี้ที่ดินของคนอื่นซึ่งเป็นที่เตียนเช่นที่ของนายทุรวมเข้าด้วย ด้านตะวันตกของที่ดินที่ตกลงจะซื้อขายจึงปรากฏในสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.1 ว่าติดที่นายเลี่ยมซึ่งรวมเอาที่ของนายทุเข้าไปด้วย พยานหลักฐานโจทก์น่าเชื่อว่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายไม่ใช่ที่ดินตามที่จำเลยชี้ซึ่งโจทก์พอใจตกลงรับซื้อสภาพของที่ดินที่จำเลยชี้จะขายโจทก์ผิดกับสภาพของที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขายกันมากมาย นับว่าโจทก์สำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม โจทก์ย่อมขอให้ศาลแสดงว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลย เป็นโมฆะ และให้จำเลยคืนเงินมัดจำและค่าที่ดินได้

ที่ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์เลินเล่ออย่างร้ายแรงนั้น จำเลยมิได้โต้เถียงในเรื่องความประมาทเลินเล่อของโจทก์ไว้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะพิจารณาวินิจฉัย

พิพากษากลับว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะให้จำเลยคืนเงินค่ามัดจำและค่าซื้อขายที่ดินให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี และเสียค่าธรรมเนียมค่าทนายแทนโจทก์

Share