แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด. จำเลยขับรถยนต์ชนรถยนต์โจทก์ ระบุความเสียหายว่า สินค้าที่บรรทุกรถยนต์มีพืชผลต่างๆ น้ำตาลและขวดเปล่า เสียหาย 12,350 บาท รถยนต์ชำรุดเสียหายค่าแรงงานฉุดลากจากคู ค่าลากจูงไปอู่ และค่าซ่อมรถ รวม 4,700 บาท ค่าเสื่อมราคา 1,600 บาท ดังนี้ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัท จำกัด จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2497 จำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ชนิดลากจูง หมายเลขทะเบียน ป.จ. 0388 จากจังหวัดปราจีนบุรีไปส่งไม้ที่จังหวัดลพบุรี อันเป็นการที่จำเลยที่ 2 กระทำตามหน้าที่การงานตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 ได้ส่งไม้เสร็จแล้วก็ขับรถยนต์คันนั้นกลับมาตามถนนพหลโยธินเพื่อกลับจังหวัดปราจีนบุรี อันเป็นสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 โดยแล่นตามหลังรถยนต์บรรทุก เลขทะเบียน ส.บ 0696 ของโจทก์ ซึ่งมีนายชิต ค้าทันเจริญ เป็นผู้ขับ ซึ่งในขณะนั้นได้บรรทุกสินค้าต่าง ๆ แล่นมาจากจังหวัดนครสวรรค์มาตามถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าจะเข้ากรุงเทพฯ ครั้นมาถึงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 109 กับที่ 110 บนถนนสายเดียวกันจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์นั้นโดยประมาทเลินเล่อแซงและเบียดรถยนต์ของโจทก์ดังกล่าว จนกระทั่งรถยนต์ของโจทก์ตกลงไปในคูข้างทางถนนนั้น ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังต่อไปนี้
ก.สินค้าที่บรรทุกรถยนต์ของโจทก์มีพืชผลต่าง ๆ น้ำตาล และขวดเปล่าเสียหายคิดเป็นเงิน 12,350 บาท
ข.รถยนต์ของโจทก์ได้รับความชำรุดเสียหายต้องเสียค่าแรงงานฉุดลากขึ้นจากคู ค่าลากจูงไปยังอู่ซ่อมกับค่าซ่อมรถ รวมเป็นเงิน 4,700 บาท
ค. โจทก์ต้องขาดประโยชน์ที่ควรมีควรได้จากการใช้รถยนต์ดังกล่าว เพราะต้องเสียเวลาซ่อมรถเป็นเวลา 3 วัน คิดเป็นเงิน 1,000 บาท
ง. แม้เมื่อซ่อมรถยนต์เสร็จแล้ว รถยนต์นั้นก็ต้องเสื่อมราคาไปเพราะการกระทำของจำเลย คิดเป็นเงิน 1,600 บาท
จึงขอศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 19,650 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2497 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 10 เดือน เงิน 1,228.12 บาท รวมเป็นเงิน 20,878.12 บาท กับให้เสียดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 19,650 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้เช่ารถยนต์คันฟ้องไปจากจำเลยที่ 1 ๆ ไม่มีอำนาจใช้หรือสั่งการให้จำเลยที่ 2 กระทำการใด ๆ เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดทางฝ่ายโจทก์โดยประมาท เพราะรถของโจทก์บรรทุกของหนักเกินระวางบรรทุก ขณะที่รถของจำเลยจะแซงได้ขอทางแล้วคนขับรถของโจทก์ได้ให้ทาง รถของจำเลยจึงได้แซงจะขึ้นหน้า คนขับรถของโจทก์ก็แกล้งเร่งความเร็วขึ้น รถของโจทก์จึงเสียอาการทรงตัวมากระทบรถของจำเลย ซึ่งแซงมาตามทางอันถูกต้องแล้ว คนขับรถของโจทก์จึงได้หักหลบตกคูไป
ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ได้ความว่า รถยนต์ของโจทก์ยี่ห้ออะไร ขนาดกี่แรงม้าเป็นราคาเท่าใด โจทก์บรรยายฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายเนื่องจากทรัพย์เสื่อมราคาแต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ทราบถึงลักษณะและราคาอันแท้จริงของทรัพย์ให้ทราบ ฟ้องก็ไม่ได้ความว่าเหตุเกิดขึ้นอยู่ในเขตอำเภอ จังหวัดใด และพืชผลไม้ต่าง ๆ ที่เสียหายนั้นเป็นพืชอะไร จำนวนเท่าใด เสียราคาเท่าใด เสียหายอย่างไร น้ำตาลอะไร ปริมาณเท่าใด เสียหายอย่างไร ขวดเปล่าจำนวนเท่าใด เสียหายอย่างไร ส่วนประกอบของรถยนต์เสียหายส่วนใดบ้าง ราคาเท่าใด ค่าลากขึ้นจากคู ค่าลากจูงไปอู่ซ่อมซึ่งอยู่ที่ไหนและราคาเท่าใด ก็ไม่บรรยายให้จำเลยทราบเพื่อมีโอกาสสู้คดีได้ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ส่วนจำเลยที่ 2 ส่งหมายเรียกให้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ และโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อตัดฟ้องของจำเลยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมดังข้อต่อสู้หรือไม่
โจทก์แถลงว่า คำฟ้องไม่เคลือบคลุม เพราะได้บรรยายความพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้แล้ว ส่วนรายละเอียดโจทก์จะนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์บรรยายฟ้องมาเป็นการเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหา และต่อสู้คดีได้แล้ว ส่วนรายละเอียดยิ่งกว่านั้นเป็นเรื่องที่จะต้องนำสืบกันต่อไป ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมให้ยกคำร้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่า ฟ้องของโจทก์ ข้อ ก. ข. และง. เคลือบคลุม เพราะไม่กล่าวอ้างให้แจ้งชัดว่า พืชผลอะไร จำนวนเท่าใดชนิดไหน ราคาอย่างละเท่าใด เสียหายอย่างไร น้ำตาลอะไร ชนิดไหนปริมาณเท่าใด ราคาเท่าใด เสียหายอย่างไร ขวดเปล่าชนิดไหนจำนวนราคาเท่าใด เสียหายอย่างไร รถยนต์ราคาเท่าใด เสียหายตรงไหนค่าลากจูงเท่าใด ค่าซ่อมเท่าใด เหล่านี้โจทก์ชอบที่จะจาระนัยได้ เพื่อจำเลยจะได้ให้การรับหรือต่อสู้ให้ถูกต้อง เห็นควรแก้คำสั่งศาลชั้นต้นว่าฟ้องโจทก์สำหรับเรียกค่าเสียหาย ข้อ ก. ข. และง. เป็น ฟ้องเคลือบคลุมไม่แจ้งชัด ให้งดสืบพยานในข้อเหล่านี้ คงให้ดำเนินการสืบพยานในข้อ ค. ต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว ได้พิเคราะห์คำบรรยายฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายมาแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ พอให้จำเลยเข้าใจข้อความที่ตนถูกกล่าวหาว่าโจทก์ได้เสียหายอะไรไปบ้าง ส่วนข้อปลีกย่อยรายละเอียดอันยืดยาวดังความเห็นแย้งของศาลอุทธรณ์นั้น เกี่ยวด้วยข้อแถลงและข้อนำสืบในชั้นพิจารณาทั้งสิ้นฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฎีกาจำเลยที่ 1ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับไป