แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกกฎหมาย เพราะเป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไปเสียตรงข้าม ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาโดยถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา ไปได้ทีเดียว (โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าเลขที่ ๒๒๙ ของโจทก์ ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองระนองค่าเช่าเดือนละ ๑๕๐ บาท ซึ่งจำเลยได้เช่าเพื่อทำการค้า และจำเลยใช้เป็นสถานที่ทำการค้า เพราะโจทก์ต้องการจะใช้ห้องพิพาทอยู่เอง และได้บอกกล่าวจำเลยให้ทราบแล้ว จำเลยไม่ยอมออก
จำเลยต่อสู้ว่าห้องพิพาทที่จำเลยเช่า เพื่ออยู่เป็นใหญ่ จึงได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าห้องพิพาทที่จำเลยเช่าเป็นเคหะ ได้รับความคุ้มครอง ให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตัดสินนั้นเป็นข้อเท็จจริง (เพราะโจทก์อุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเช่าอยู่อาศัยหรือเช่าเพื่อการค้า ซึ่งต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปนั้นไม่ชอบ คดีต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นว่าห้องเป็นเคหะ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.