แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ก็เพื่อเอาใจโจทก์ เพราะขณะนั้นจำเลยถูกฟ้องคดีอาญา ต้องการจะเอาบุตรซึ่งเกิดจากสามีของโจทก์คนก่อนมาเป็นพยานให้จำเลยในคดีที่ถูกฟ้อง และเกรงว่าโจทก์จะร้องเรียนผู้บังคับบัญชาทางวินัย เพราะจำเลยมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนที่จะได้โจทก์เป็นภรรยา ส่วนทางโจทก์ก็ประสงค์จะใช้สัญญากู้เป็นข้อต่อรองให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับภรรยาคนเดิมแล้วจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ โดยมิได้มีการรับเงินกันตามสัญญากู้จริงดังนี้ สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาทำขึ้นโดย เจตนาลวงไม่ประสงค์จะผูกพันกัน จึงใช้บังคับไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ 68,000 บาท แก่โจทก์ ดอกเบี้ยให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยว่า เดิมจำเลยมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ชื่อนางเพียรมีบุตรด้วยกัน 2 คน เมื่อ พ.ศ. 2519 จำเลยและโจทก์ได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาต่อมาจำเลยถูกฟ้องข้อหาฆ่าผู้อื่นต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 5 (ศาลจังหวัดสงขลา)เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2521 โจทก์ขายฝากที่ดินไว้แก่นางจัด จิระวิบูลย์รัตน์ครั้นวันที่ 13 พฤศจิกายน 2521 จำเลยเขียนสัญญากู้เงินโจทก์โดยระบุวันคืนเงินในวันเดียวกับวันกู้ ตามเอกสารหมาย จ.1 ส่วนดอกเบี้ยโจทก์อ้างว่าตกลงกันด้วยวาจาร้อยละ 3 ต่อเดือน วันที่ 14 พฤศจิกายน 2521 จำเลยกับนางเพียรจดทะเบียนหย่าจากการเป็นสามีภรรยากัน และวันที่ 17 พฤศจิกายน 2521 จำเลยกับโจทก์จดทะเบียนสมรสกัน ครั้นวันที่ 20 พฤศจิกายน 2521 ศาลมณฑลทหารบกที่ 5(ศาลจังหวัดสงขลา) พิพากษาลงโทษจำเลยมีกำหนด 8 ปี โจทก์ได้ฟ้องหย่ากับจำเลย และศาลจังหวัดสงขลาพิพากษาให้หย่าแล้ว โจทก์จึงนำสัญญากู้หมาย จ.1มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ปัญหาที่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์หรือไม่นั้น ได้ความจากคำของโจทก์ว่า จำเลยขอกู้เงินวันนั้นก็ทำสัญญากู้กัน แล้วพากันไปเอาเงินที่กู้จากนางจัดซึ่งเป็นเงินที่โจทก์ขายฝากที่ดินไว้ ส่วนนายถาวร คงสุข พยานในสัญญากู้รออยู่ที่บ้าน เมื่อพากันกลับมาที่บ้านโจทก์ นายถาวรก็ยังอยู่ แต่ปรากฏว่าโจทก์ขายฝากที่ดินไว้แก่นางจัดและรับเงินขายฝากไป ก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2521 และนายถาวร คงสุข พยานโจทก์ว่า เมื่อพยานมาถึงบ้านโจทก์เห็นจำเลยถือเงินที่กู้อยู่แล้ว และสัญญากู้ก็เขียนเสร็จแล้ว เมื่อพยานลงชื่อในสัญญากู้ในฐานะพยานแล้วก็กลับบ้านเช่นนี้เห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวแตกต่างขัดกันฟังเอาแน่ไม่ได้ นอกจากนี้วันที่จำเลยกู้เงินจากโจทก์และวันที่จำเลยจะต้องคืนเงินที่กู้ให้แก่โจทก์ตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้เป็นวันเดียวกันซึ่งเป็นเวลาหลังจากโจทก์จำเลยอยู่กินฉันสามีภรรยากันแล้วประมาณ 1 ปีเศษ และอยู่ระหว่างเวลาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่น เมื่อจำเลยทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์แล้ว จำเลยกับนางเพียรภรรยาคนเดิมก็จดทะเบียนหย่ากัน แล้วจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ ต่อมาจำเลยก็ถูกศาลพิพากษาลงโทษในข้อหาฆ่าผู้อื่น ซึ่งแต่ละเหตุการณ์มีระยะต่างกันไม่กี่วัน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงสมพยานข้างจำเลยว่า จำเลยไม่มีเจตนากู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้จากโจทก์ ที่จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ก็เพื่อเอาใจโจทก์เพราะขณะนั้นจำเลยถูกฟ้องข้อหาฆ่าผู้อื่น ต้องการจะเอาบุตรซึ่งเกิดจากสามีของโจทก์คนก่อนมาเป็นพยานให้จำเลยในคดีที่จำเลยถูกฟ้อง และเกรงว่าโจทก์จะร้องเรียนผู้บังคับบัญชาในทางวินัย เพราะจำเลยมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนที่จะได้โจทก์เป็นภรรยา นอกจากนี้น่าเชื่อว่าโจทก์ใช้กลอุบายให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้ให้ เพื่อเป็นเครื่องต่อรองให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับนางเพียรภรรยาคนเดิมแล้วจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1 ระหว่างโจทก์จำเลยนั้น คู่สัญญาทำขึ้นโดยเจตนาลวงไม่ประสงค์จะผูกพันกัน จึงใช้บังคับกันไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118”
พิพากษายืน