คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หากจำเลยจะโต้แย้ง ว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบโดยโจทก์แนบเอกสารสัญญาที่อ้างถึงในคำฟ้องเฉพาะบางส่วนของสัญญาเท่านั้นจึงต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณา และให้จำเลยยื่นคำให้การใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 จำเลยก็ต้องยกขึ้นคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ส่วนการส่งสำเนาพยานเอกสารนั้นเนื่องจากโจทก์อ้างเอกสารซึ่งมิได้อยู่ที่โจทก์ โจทก์จึงขอคำสั่งเรียกโดยไม่ส่งสำเนาให้จำเลย แต่แม้จะวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยว่าเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
แม้ผู้ให้เช่าเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าไม่ได้ เพราะจำเลยซึ่งอยู่ในที่เช่ามาก่อนไม่ยอมออกไป และทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยโดยลำพัง แต่โจทก์ก็ได้ใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. ม.549 ประกอบด้วย ม.477 ขอให้ศาลเรียกผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ตาม ป.ว.พ. ม.57(3) แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าโดยละเมิด มิใช่ฐานะที่จำเลยเป็นคู่สัญญาเช่ากับโจทก์ จึงไม่อยู่ในบังคับตาม ป.พ.พ. ม.538 ที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่า โจทก์เสนอคำฟ้องโดยแนบเอกสารสัญญาหมาย 3 มาท้ายฟ้องมีข้อความเฉพาะบางส่วนของสัญญา ไม่ครบถ้วนตามต้นฉบับ ถือได้ว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ เป็นเหตุที่จะต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาเสีย และให้จำเลยยื่นคำให้การใหม่ เห็นว่า โจทก์ถ่ายภาพข้อความของสัญญาหมาย 3 เพียงข้อ 1 กับข้อ 2 อันเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ ตามที่โจทก์อ้างในฟ้องแนบมาพร้อมฟ้อง ถ้าจำเลยจะโต้แย้งคัดค้านว่าเป็นการผิดระเบียบเพราะมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอย่างใดเป็นกรณีซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27จำเลยชอบที่จะยกขึ้นคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา แต่จำเลยรับสำเนาคำฟ้องของโจทก์แล้วดำเนินคดีเรื่อยมาจนเสร็จ จำเลยจะหยิบยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ขัดกับบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ไม่มีผลแต่ประการใด

จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์อ้างเอกสาร 20 ฉบับ โดยขอคำสั่งเรียกจากผู้ร้องสอดที่เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแทนการส่งสำเนาให้จำเลยไม่ชอบศาลชั้นต้นจะรับฟังพยานเอกสารนั้นไม่ได้ เห็นว่าโจทก์อ้างเอกสารซึ่งมิได้อยู่ที่โจทก์จึงขอคำสั่งเรียก หากจำเลยเห็นว่าเป็นการอ้างเอกสารที่จะต้องส่งสำเนาให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ด้วย และจำเลยเสียเปรียบอย่างใดก็อาจคัดค้านขอให้งดสืบพยานนั้นไว้ก่อนได้ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติ แม้จะวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยว่าเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจที่จะรับฟังเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)” ฯลฯ

“จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ผู้ร้องสอดส่งมอบทรัพย์ที่เช่าให้โจทก์ไม่ได้เป็นเรื่องรอนสิทธิ โจทก์ต้องว่ากล่าวเอากับผู้ร้องสอด ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเห็นว่าเมื่อผู้ให้เช่าเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าไม่ได้เพราะจำเลย ซึ่งอยู่ในที่เช่ามาก่อนขัดขวางไม่ยอมออกไป โจทก์ไม่มีสิทธิจะฟ้องขับไล่จำเลยโดยลำพังแต่โจทก์ได้ขอให้ศาลเรียกผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ตามสิทธิในบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 549 ประกอบด้วยมาตรา 477 และผู้ร้องสอดได้รับหมายเรียกของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ย่อมมีสิทธิเข้ามาดำเนินคดีในฐานะเป็นโจทก์ได้ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลย” ฯลฯ

“จำเลยทั้งสองฎีกาประการสุดท้ายว่า สัญญาเช่า (สร้าง) สัญญา (สร้าง)ช่วง สัญญาโอนสิทธิการเช่า (สร้าง) และสัญญาเช่า (สร้าง) ไม่ได้ทำหลักฐานกันเป็นหนังสือระหว่างโจทก์จำเลย โจทก์ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 เห็นว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเพราะอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าโดยละเมิด มิใช่ฐานะที่จำเลยเป็นคู่สัญญานั้นกับโจทก์ ไม่ต้องห้ามตามบทกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นฎีกา”

พิพากษายืน

Share