แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ศาลวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีส่วนแพ่งว่าการที่รถโจทก์จำเลยชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของฝ่ายโจทก์ร่วมด้วยหาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งขัดหรือกลับข้อเท็จจริงที่จำต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาที่ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่ที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าการที่รถโจทก์จำเลยชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ร่วมด้วย จึงเป็นการชอบ
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยและโจทก์มีส่วนประมาทด้วยกัน ให้โจทก์รับผิดหนึ่งในสามส่วน จำเลยรับผิดสองในสามส่วน พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 8,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลล่างวินิจฉัยว่า การที่รถโจทก์จำเลยชนกันนั้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ร่วมกัน อันเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46นั้น ปัญหาดังกล่าวนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ที่บัญญัติว่า การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญานั้น คำพิพากษาในส่วนอาญาที่จำเลยคดีนี้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้ว มีข้อเท็จจริงที่ฟังไว้ในคดีส่วนอาญานั้น คงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อเป็นผลทำให้เกิดชนกับรถจักรยานยนต์ของโจทก์เท่านั้น หาได้ฟังข้อเท็จจริงได้ถึงกับว่า รถชนกันนั้นเป็นการชนเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียวไม่ การที่ศาลวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีส่วนแพ่งที่ว่า การที่รถโจทก์จำเลยชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของฝ่ายโจทก์ร่วมด้วย จึงหาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งขัดหรือกลับข้อเท็จจริงที่จำต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาที่ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่”
พิพากษายืน