แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ตกลงขายบ้านให้จำเลยโดยรับเงินค่าบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โดยขอผัดผ่อนจะจดทะเบียนโอนกันวันหลัง แต่ได้มอบการครอบครองบ้านให้จำเลยนั้น ย่อมเข้าลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อขายสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวนี้ย่อมผูกพันโจทก์อยู่ จำเลยเป็นผู้ครอบครองบ้านพิพาทของโจทก์ในฐานะผู้ซื้อ และมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยบ้านซึ่งครอบครองนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิยึดหน่วงบ้านหลังนั้นไว้ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากบ้านของโจทก์ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของวัดคาทอลิควัดเพลง อ้างว่าจำเลยอาศัยแล้วไม่ยอมออก
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้อาศัย แต่โจทก์ตกลงขายบ้านให้จำเลยเมื่อประมาณ 8 ปีมาแล้วในราคา 15,000 บาท โดยได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว ได้ส่งมอบให้จำเลยครอบครองในฐานะผู้ซื้อตลอดมา โจทก์ได้ขอผัดผ่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยเรื่อยมา แล้วกลับมาฟ้องขับไล่จำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า โจทก์ได้ตกลงขายบ้านพิพาทให้จำเลยแล้วในราคา 15,000 บาท
การที่โจทก์ตกลงขายบ้านพิพาทให้จำเลย โดยรับเงินค่าบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โดยขอผัดผ่อนจะจดทะเบียนโอนกันวันหลัง แต่ได้มอบการครอบครองบ้านให้จำเลยนั้น ย่อมเข้าลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อขาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรค 2 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวนี้ย่อมผูกพันโจทก์อยู่ จำเลยเป็นผู้ครอบครองบ้านพิพาทของโจทก์ในฐานะผู้ซื้อซึ่งได้การครอบครองมาโดยชอบ และมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยบ้านซึ่งครอบครองนั้น จำเลยย่อมมีสิทธิยึดหน่วงบ้านหลังนั้นไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
พิพากษายืน