คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนนิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาต่อนิติบุคคลเสียเองนั้น ผู้แทนของนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดย่อมไม่จัดการแทนนิติบุคคลโดยฟ้องร้องกล่าวหาตนเองต่อศาล ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169บัญญัติให้ผู้ถือหุ้นฟ้องคดีได้หากกรรมการทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทและบริษัทไม่ฟ้องคดี ถือได้ว่าผู้ถือหุ้นในบริษัทเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) มีอำนาจฟ้องคดีได้ตามมาตรา 28(2)
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะกรรมการบริษัท พ. ร่วมกันทำรายงานการประชุมของบริษัท อันเป็นความเท็จและจำเลยที่ 2ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทของบริษัทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยไม่มีการซื้อขายกันจริง เป็นเหตุให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการยักยอกที่ดินพิพาทของบริษัท
ในวันที่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท คู่สัญญาต่างเป็นนิติบุคคลจึงต้องแสดงหนังสือรับรองการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินด้วยเพื่อให้ตรวจสอบอำนาจของกรรมการของนิติบุคคลนั้น และคู่สัญญาต้องส่งรายงานการประชุมของนิติบุคคลดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบเจตนาและวัตถุประสงค์ของคู่สัญญาด้วย การที่จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ผู้รับมอบอำนาจให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินเป็นการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานในการซื้อขายโดยประการที่ทำให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานยักยอก ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ และฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และเห็นว่าความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการเป็นกรรมเดียว แต่เป็นคนละกรรมกับความผิดฐานยักยอกและให้เรียงกระทงลงโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันและให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานยักยอกเพียงบทเดียวจึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาแก้โทษของจำเลยที่ 3 ที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษมานั้นเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อระหว่างต้นเดือนพฤษภาคม 2532 ถึงปลายเดือนพฤศจิกายน 2532 เวลากลางวัน จำเลยทั้งหกร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยทั้งหกร่วมกันเบียดบังเอาที่ดินโฉนดเลขที่ 91683 ถึง 91687 รวม 5 แปลง เนื้อที่ 5 ไร่ 59 ตารางวาของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ซึ่งโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปเป็นของจำเลยที่ 3 ด้วยเจตนาทุจริตโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งห้าแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 โดยอ้างว่าบริษัทดังกล่าวขายให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งไม่เป็นความจริงทั้งนี้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นการร่วมกันยักยอกทรัพย์สินของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้างจำกัด เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยทั้งหกโดยเจตนาทุจริตร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ทั้งสองด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 5 แปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 3 โดยอ้างว่าบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3ผู้ซื้อได้ชำระราคาอีกทั้งผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินไว้แล้ว อันเป็นความเท็จความจริงแล้วไม่มีการซื้อที่ดินกันจริง อันเป็นการร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงผู้ถือหุ้นของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด และโจทก์ทั้งสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการร่วมกันฉ้อโกงที่ดินของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด และโจทก์ทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายนอกจากนี้เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2532 เวลากลางวัน จำเลยที่ 4 ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เขตห้วยขวาง(บางกะปิ) ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้จดข้อความอันเป็นเท็จในแบบสอบสวนบันทึกถ้อยคำและสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินในการซื้อขายที่ดินอันเป็นเอกสารมหาชนและเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานว่าบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ผู้ขายได้ขายที่ดิน 5 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 3 ผู้ซื้อได้ชำระราคาและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินรายนี้เรียบร้อยแล้วซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด และจำเลยที่ 3มิได้ขายที่ดินและไม่มีการชำระเงินค่าที่ดินกันจริง โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันทำรายงานการประชุมของบริษัทและหนังสือมอบอำนาจขายที่ดินอันเป็นเท็จมอบให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 นำไปประกอบการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ได้ร่วมกันทำรายงานการประชุมของจำเลยที่ 3 อันเป็นเท็จนำไปประกอบการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินในการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ 3 ไปการกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นการร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นพยานหลักฐานเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 267, 341, 352 และ 353

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหายักยอกข้อหาแจ้งความเท็จ และข้อหาแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จให้ประทับฟ้องข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาฉ้อโกงให้ยกฟ้อง

จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 3 ปี และปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน6,000 บาท จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267 ประกอบด้วยมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3และที่ 4 ในข้อหาดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละ 3 ปีและปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 6,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละ6 ปี ปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 12,000 บาท คำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีและจำเลยที่ 2 พยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดตลอดมานับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยที่ 2หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี หากจำเลยที่ 3 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามมาตรา 29คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6

โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83จำคุกคนละ 2 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่คัดค้าน และโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1และที่ 4 ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองเป็นที่พอใจแล้ว ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 และขอถอนฎีกาของโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ไม่คัดค้าน จำเลยที่ 1 และที่ 4 ขอแก้ไขคำให้การเป็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ให้การรับสารภาพในความผิดเกี่ยวกับเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267 และขอให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหกในความผิดฐานฉ้อโกง โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในข้อหาดังกล่าว ดังนั้นข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนความผิดฐานยักยอกและความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานนั้นศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานร่วมกันยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 83 และจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตามมาตรา 137, 267 ประกอบด้วยมาตรา 83

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองทุกข้อหา ส่วนโจทก์ทั้งสองฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 5 และที่ 6 ในความผิดฐานยักยอกและฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและขอให้ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยที่ 2 ในสถานหนักโดยไม่ลดโทษให้

คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันยักยอกที่ดิน 5 แปลงของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด และร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เขตห้วยขวาง (บางกะปิ) เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารของทางราชการจริงหรือไม่ หากจำเลยที่ 2กระทำความผิดจริงตามฟ้องมีเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 2 หรือไม่

อย่างไรก็ดีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้ ซึ่งโจทก์ทั้งสองชอบที่จะถอนฟ้องในเวลาใดก็ได้ก่อนคดีถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35วรรคสอง เมื่อโจทก์ทั้งสองขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ในข้อหาดังกล่าวในระหว่างฎีกาและจำเลยเหล่านั้นไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ในความผิดฐานยักยอกได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ออกเสียจากสารบบความคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ลงโทษจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 ในความผิดฐานยักยอกย่อมสิ้นผลไปในตัว

อนึ่ง เมื่อศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 4ในความผิดฐานยักยอกแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในข้อหาดังกล่าวย่อมตกไปด้วย แต่ความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 และมาตรา 267 เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน โจทก์ทั้งสองต้องขอถอนฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคหนึ่ง จะถอนฟ้องในชั้นฎีกาไม่ได้จึงไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องสำหรับข้อหาความผิดตามมาตรา 137และมาตรา 267 ส่วนที่โจทก์ทั้งสองขอถอนฎีกาสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6นั้น เฉพาะจำเลยที่ 2 เมื่อศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและสั่งจำหน่ายคดีในส่วนจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองที่ขอถอนฎีกาในส่วนจำเลยที่ 2 อีก คงเหลือฎีกาของโจทก์ทั้งสองในส่วนของจำเลยที่ 5 และที่ 6 เมื่อจำเลยที่ 5 และที่ 6 ไม่ค้าน จึงอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฎีกาได้ ให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 ออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา

คงเหลือปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4แต่เพียงว่า จำเลยที่ 3 ได้ยักยอกที่ดินของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัดจริงหรือไม่ และจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เขตห้วยขวาง (บางกะปิ) เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารของทางราชการจริงหรือไม่

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อแรกว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกหรือไม่ เห็นว่า ในกรณีที่ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนนิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาต่อนิติบุคคลเสียเองนั้นเป็นที่เห็นได้ว่าผู้แทนของนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดย่อมไม่จัดการแทนนิติบุคคลโดยฟ้องร้องกล่าวหาตนเองต่อศาล ดังนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 บัญญัติให้ผู้ถือหุ้นฟ้องคดีได้หากกรรมการทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทและบริษัทไม่ฟ้องคดีดังนี้จึงถือได้ว่าผู้ถือหุ้นในบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) มีอำนาจฟ้องคดีได้ ตามมาตรา 28(2) โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งหกในความผิดฐานยักยอก

ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดฐานยักยอก และจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามฟ้องหรือไม่ ในเบื้องต้นเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยที่ 3ได้ยักยอกที่ดินของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ในปัญหาดังกล่าวโจทก์ทั้งสองมีโจทก์ที่ 1 เป็นพยานเบิกความว่าจำเลยที่ 1และที่ 2 ในฐานะกรรมการบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ร่วมกันทำรายงานการประชุมของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ฉบับลงวันที่ 8พฤษภาคม 2532 ตามเอกสารหมาย จ.11 และ จ.13 ว่า โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทไม่ได้นำเงินมาให้บริษัทกู้ยืมตามสัดส่วนที่ถือหุ้นเพื่อชำระราคาที่ดินเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องหาเงินมาให้บริษัทกู้ยืมแทนและที่ดินพิพาทไม่เป็นประโยชน์แก่บริษัทจึงเห็นสมควรขายให้จำเลยที่ 3ในราคา 21,000,000 บาท อันเป็นความเท็จ ความจริงแล้วโจทก์ทั้งสองได้นำเงินไปให้บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด กู้ยืมเพื่อซื้อที่ดินพิพาทตามสัดส่วนที่ถือหุ้นเป็นเงิน 1,500,000 บาท โดยโจทก์ที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขานานาเหนือ ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2531จำนวนเงิน 1,500,000 บาท บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินแต่ประการใด เนื่องจากตั๋วสัญญาใช้เงินค่าที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือ 14,000,000 บาท ครบกำหนดชำระในวันที่ 28 กันยายน 2532และบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ยังได้รับอนุมัติจากธนาคารกรุงเทพจำกัด สำนักงานใหญ่ให้กู้ยืมเงินในวงเงิน 50,000,000 บาท นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการทำหมู่บ้านจัดสรรโครงการที่ 2 บนที่ดินพิพาทต่อจากโครงการพระรามเก้าวิลล์ซึ่งเป็นโครงการแรก เนื่องจากที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมีเนื้อที่ติดต่อกัน ที่ดินโครงการแรกมีถนน 2 สาย กว้าง 8 เมตรและ 12 เมตร ถนนดังกล่าวเชื่อมติดต่อกับที่ดินพิพาทในข้อนี้โจทก์ทั้งสองยังมีนายวรวุฒิ วุฒิภิญโญ สมุห์บัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขานานาเหนือกับนางสาวสุภาณี เสน่หา สมุห์บัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาตลาดน้อยเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า เช็คจำนวน 6 ฉบับ ของโจทก์ที่ 1 ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.63 ได้ถูกเรียกเก็บเงินโดยนำเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและบัญชีสะสมทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาตลาดน้อยจำนวน 1,500,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.64 และ จ.65 ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ทั้งสองยังมีนายเจริญ จันทร์สมิธมาศผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ เป็นพยานเบิกความว่า ธนาคารได้อนุมัติให้วงเงินกู้แก่บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด จำนวน40,000,000 บาท และวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีอีก 10,000,000 บาทรวมเป็น 50,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.68 และ จ.69 นอกจากนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินค่าซื้อที่ดินพิพาทส่วนที่เหลืออีก 14,000,000 บาทเอกสารหมาย จ.10 ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระ แต่จะครบกำหนดชำระเงินในวันที่ 28 กันยายน 2532 ข้อนำสืบของโจทก์ทั้งสองมีเหตุผลเชื่อมโยงกันดีรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองได้นำเงินไปมอบให้บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัดเพื่อซื้อที่ดินพิพาทตามสัดส่วนที่ถือหุ้นแล้ว จึงไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นที่บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด จะต้องระดมทุนเพิ่มเพื่อชำระราคาที่ดินพิพาทอีก ส่วนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัดกับจำเลยที่ 3 ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2532 นั้น โจทก์ทั้งสองนำสืบว่าในวันดังกล่าวไม่มีการซื้อขายกันจริง เพราะจำเลยที่ 3 ไม่ได้ชำระเงินให้แก่บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด แต่อย่างใด โดยโจทก์ทั้งสองมีนายนิรันดร์เพชรชาติ ผู้ช่วยหัวหน้าส่วนบัญชีกระแสรายวันธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ เป็นพยานเบิกความว่าตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด เอกสารหมาย จ.19 ปรากฏว่าในวันที่ 17พฤษภาคม 2532 อันเป็นวันซื้อขายที่ดินกันและในวันถัดมาไม่มีการนำเงินจำนวน 21,000,000 บาท ฝากเข้าบัญชีดังกล่าวเลย ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเหตุที่ต้องมีการโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ในลักษณะดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดิน เนื่องจากการจัดสรรที่ดินตั้งแต่ 100 แปลงขึ้นไป ผู้จัดสรรจะต้องจัดให้มีพื้นที่เป็นสนามเด็กเล่น 1 แห่ง โดยมีเนื้อที่ตั้งแต่200 ตารางวาขึ้นไป ดังนั้น การโอนที่ดินพิพาทไปให้จำเลยที่ 3 ทำการจัดสรรจะทำให้บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ได้ประโยชน์โดยไม่ต้องเสียเนื้อที่สนามเด็กเล่นและเมื่อโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 แล้ว ได้ตกลงให้จำเลยที่ 3โอนหุ้นของจำเลยที่ 3 มาให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัดตามสัดส่วนที่ลงทุนและทำโครงการที่ 2 ในนามของจำเลยที่ 3 ต่อไปก็ขัดต่อเหตุผลอีกทั้งเมื่อมีการโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีการโอนหุ้นของจำเลยที่ 3 ให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ตามสัดส่วนที่ลงทุนแต่อย่างใด ตามพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยไม่มีการซื้อขายกันจริงเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้จำเลยที่ 3โดยจำเลยที่ 4 ได้ทำรายงานการประชุมตามเอกสารหมาย จ.13 มีข้อความว่าได้ติดต่อซื้อที่ดินพิพาทจากบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ในราคา21,000,000 บาท ซึ่งเป็นข้อความเท็จ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการยักยอกทรัพย์ของบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด

ส่วนความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการนั้น โจทก์ทั้งสองมีนางพวงเพชร เจริญวิริยะภาพเจ้าพนักงานบริหารที่ดิน ระดับ 7 ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเบิกความเป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้ทำการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทในคดีนี้ ในวันที่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ทำการขายที่ดินพิพาทตลอดจนให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.14ส่วนผู้ซื้อที่ดินพิพาทคือจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจแต่เนื่องจากคู่สัญญาต่างเป็นนิติบุคคลจึงต้องแสดงหนังสือรับรองการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินด้วยเพื่อตรวจสอบอำนาจของกรรมการของนิติบุคคลนั้น และคู่สัญญาต้องส่งรายงานการประชุมของนิติบุคคลดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบเจตนาและวัตถุประสงค์ของคู่สัญญาด้วย ในการดำเนินการครั้งนั้นบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัดโดยจำเลยที่ 1 ได้ส่งรายงานการประชุมของบริษัทตามเอกสารหมาย จ.11และ จ.12 ต่อพยาน ส่วนจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ได้ส่งรายงานการประชุมของบริษัทตามเอกสารหมาย จ.13 ต่อพยาน นอกจากนี้จำเลยที่ 1 และที่ 4ยังได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานผู้สอบสวนสิทธิและนิติกรรมตามแบบ ท.ด.1ว่า บริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด กับจำเลยที่ 3 ได้ตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทกันในราคา 21,000,000 บาท ผู้ซื้อได้ชำระราคาและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินเรียบร้อยแล้ว เจ้าพนักงานได้บันทึกถ้อยคำดังกล่าวไว้ในหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.15 พยานจึงได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่ารายงานการประชุมตามเอกสารหมาย จ.11 ถึง จ.13 เป็นเอกสารเท็จ และไม่มีการซื้อขายที่ดินพิพาทกันจริง ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ให้ถ้อยคำดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินจึงเป็นการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานในการซื้อขาย โดยประการที่ทำให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทพระรามเก้าก่อสร้าง จำกัด ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในความผิดฐานนี้ชอบแล้ว

ข้อที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานยักยอกซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่เพียงบทเดียวแต่ไม่ได้แก้โทษที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 3 รวมสองกระทงเป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานยักยอก ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ และฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และเห็นว่าความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการเป็นกรรมเดียว แต่เป็นคนละกรรมกับความผิดฐานยักยอกและเรียงกระทงลงโทษโดยปรับกระทงละ 6,000 บาทรวม 2 กระทง ปรับ 12,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานยักยอกเพียงบทเดียวจึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาแก้โทษของจำเลยที่ 3 ที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษมา กลับพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบ

ปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการสุดท้ายมีว่า สมควรรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองจนเป็นที่พอใจและโจทก์ทั้งสองไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยที่ 1และที่ 4 ประกอบกับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยที่ 1 และที่ 4 กลับตนเป็นพลเมืองดี จึงควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 4”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 2ที่ 5 และที่ 6 กับให้จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 4เฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 83 ออกจากสารบบความ ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ4,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และโจทก์ทั้งสองไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยที่ 1 และที่ 4 เห็นควรให้โอกาสจำเลยที่ 1และที่ 4 กลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ถ้าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามมาตรา 29, 30 ให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานยักยอกเพียงบทเดียว ปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 6,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share