คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7172/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สำเนาโฉนดที่ดินที่มีเจ้าหน้าที่ที่ดินรับรองความถูกต้องมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คนเดียว จำเลยย่อมได้รับการสันนิษฐานจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 ว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทคนเดียว การที่โจทก์อ้างว่า ย. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าโฉนดที่ดินไม่ถูกต้องอย่างไรการที่โจทก์มีเพียงโจทก์ที่ 6 เบิกความว่าทราบเรื่อง ย. ร่วมซื้อที่ดินกับจำเลยเมื่อปี 2524 แต่ก็ได้ความจากที่ทนายโจทก์ทั้งหกถามติงและทนายจำเลยถามค้านว่าตั้งแต่ปี 2524 ย. ไปอยู่บ้านจำเลย โจทก์ที่ 6 ไม่เคยไปบ้านจำเลยดังนั้น โจทก์ที่ 6 อาจไม่ได้พบ ย. เลย ที่โจทก์ที่ 6 เบิกความว่ารู้เรื่อง ย. ร่วมกับจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจึงไม่น่าเชื่อ คำเบิกความนอกจากนั้นเป็นการเบิกความลอย ๆ คำเบิกความของโจทก์ที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังว่าโฉนดที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องจึงต้องฟังตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าโฉนดที่ดินเป็นเอกสารที่ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภริยาของนายเยี้ยง แซ่เฮ็ง โจทก์ที่ 2ถึงที่ 6 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเยี้ยง ประมาณปี 2507 นายเยี้ยงอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยโดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกันรวม 2 คนเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2524 จำเลยกับนายเยี้ยงร่วมกันซื้อที่ดินเฉพาะส่วนโฉนดที่ดินเลขที่ 5580 ตำบลบ้านเกาะ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากนางมลิวัลย์และนายช่วง สัมมาบัติ ต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2524 จำเลยกับนายเยี้ยงร่วมกันซื้อที่ดินเฉพาะส่วนโฉนดที่ดินดังกล่าวเพิ่มอีกจากนายรังสรรค์สัมมาบัติ โดยใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ปัจจุบันที่ดินที่ซื้อมาทั้งสองแปลงดังกล่าวได้แบ่งแยกออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 23582 และ 5580ตำบลบ้านเกาะ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่แปลงละ 2 งาน 11 ตารางวา เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2538 นายเยี้ยงถึงแก่กรรมโจทก์ทั้งหกขอให้จำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ทั้งหก แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 23582 และ 5580ตำบลบ้านเกาะ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กันให้แก่โจทก์ทั้งหกส่วนหนึ่ง หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว นายเยี้ยงไม่เคยร่วมซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลง จึงไม่มีกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลย หากฟังว่านายเยี้ยงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยแล้วบุตรของจำเลยทั้งสองคนที่เกิดจากนายเยี้ยงย่อมมีสิทธิรับมรดกเท่ากับโจทก์ทั้งหกด้วย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ทั้งหกฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ทั้งหกฎีกาว่า นายเยี้ยง แซ่เฮ็ง มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งนั้น ปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินว่าจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงเพียงคนเดียว โฉนดที่ดินเป็นเอกสารมหาชนซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 บัญญัติว่า”เอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นหรือรับรอง หรือสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารนั้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องเป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร” เมื่อตามสำเนาโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับดังกล่าวซึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่ดินรับรองความถูกต้องมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คนเดียวก็ย่อมได้รับการสันนิษฐานจากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงคนเดียว การที่โจทก์ทั้งหกอ้างว่านายเยี้ยงมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง โจทก์ทั้งหกจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับไม่บริสุทธิ์หรือไม่ถูกต้องอย่างไรแต่โจทก์ทั้งหกมีเพียงโจทก์ที่ 6 คนเดียวเบิกความว่าโจทก์ที่ 6 ทราบเรื่องนายเยี้ยงร่วมซื้อที่ดินกับจำเลยเมื่อปี 2524 และก่อนตายนายเยี้ยงบอกโจทก์ที่ 6 ว่าเป็นผู้หาเงินซื้อที่ดินทั้งสองแปลงด้วยตนเอง แต่โจทก์ที่ 6 ตอบทนายโจทก์ทั้งหกถามติงว่า ครั้งหลังสุดที่นายเยี้ยงมาอยู่กินกับโจทก์ที่ 1 ที่บ้านของโจทก์ที่ 6 คือประมาณก่อนปี 2524 หลังจากนั้นนายเยี้ยงไม่เคยมาที่บ้านของโจทก์ที่ 6 อีก เนื่องจากทะเลาะกับโจทก์ที่ 1 เรื่องนายเยี้ยงมีภริยาน้อยแล้วจึงไปอยู่บ้านจำเลย และตอบทนายจำเลยถามค้านว่าก่อนปี 2538 โจทก์ที่ 6ไม่เคยไปบ้านจำเลย ก่อนตายนายเยี้ยงไม่ได้สั่งเสียเกี่ยวกับการจัดงานศพ คำเบิกความของโจทก์ที่ 6 ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2524 ถึงปี 2538โจทก์ที่ 6 อาจไม่ได้พบกับนายเยี้ยงเลย ที่โจทก์ที่ 6 เบิกความว่ารู้เรื่องนายเยี้ยงร่วมกับจำเลยซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงไม่น่าเชื่อ ส่วนที่อ้างว่าก่อนตายนายเยี้ยงบอกโจทก์ที่ 6 ว่า เป็นผู้หาเงินซื้อที่ดินทั้งสองแปลงด้วยตนเองก็เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหรือหลักฐานอื่นใดสนับสนุนให้มีน้ำหนักว่านายเยี้ยงได้พูดจริงหรือไม่ และหากนายเยี้ยงพูดจริง ข้อเท็จจริงเป็นดังที่นายเยี้ยงพูดหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คำเบิกความของโจทก์ที่ 6 ดังกล่าวยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังว่าโฉนดที่ดินพิพาททั้งสองฉบับไม่ถูกต้อง จึงต้องฟังตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าโฉนดที่ดินพิพาททั้งสองฉบับเป็นเอกสารที่ถูกต้องนั่นคือจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงคนเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งหกฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share