คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4276/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้กรมสรรพากรจำเลยที่ 2 คืนภาษีธุรกิจเฉพาะให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย อ้างว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีดังกล่าว แต่โจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอคืนภาษีตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้โอนที่ดินให้แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์โดยเสน่หา และเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจำนวน 67,590.60 บาทโดยไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย โจทก์มีหนังสือขอคืนภาษีจำนวนดังกล่าวจากจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่คืนให้ จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนภาษีจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ยื่นคำร้องขอคืนภาษีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดตามแบบคำร้องขอคืนภาษีที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดและการให้ที่ดินระหว่างโจทก์กับบุตรต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอคืนภาษีตามฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างว่าตนไม่มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะเงินเพิ่มและภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน67,590.60 บาท แต่ได้ชำระภาษีอากรจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 ไว้โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าวคืนกรณีของโจทก์เป็นเรื่องการขอคืนภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งโจทก์ต้องยื่นคำร้องขอคืนตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่กำหนดไว้ก่อนโจทก์จึงจะนำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 9 แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์รับว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่ได้ยื่นคำร้องขอคืนภาษีที่ตนไม่มีหน้าที่ต้องเสีย จึงเป็นกรณีที่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดโจทก์จึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์นอกจากที่วินิจฉัยมาแล้วไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอีกต่อไป”

พิพากษายืน

Share