คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทและจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทมาก่อนโจทก์เกินกว่า 30 ปี มิใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นของจำเลยและจำเลยได้ปลูกบ้านอยู่ โดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1382 ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเป็นว่า จำเลยเข้าครอบครองที่ดินบริเวณที่ปลูกบ้านกับเพิ่งมาก่อนที่โจทก์ได้กล่าวมาในคำบรรยายฟ้อง โดยปลูกบ้านกับเพิง และเข้าครอบครองที่ดินในบริเวณที่ปลูกบ้านกับเพิงโดยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382 ซึ่งศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การแล้ว ดังนั้น ตามคำให้การที่แก้ไขใหม่ต่อข้อต่อสู้เดิมว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่เป็นข้อต่อสู้อีกต่อไป การครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงมิใช่เป็นการครอบครองที่ดินที่จำเลยมีสิทธิอยู่แล้ว จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามาตรา 1382 หรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 25269 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 1 ไร 1 งาน 80 ตารางวา จำเลยได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บนที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหาย ที่ดินของโจทก์หากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนแล้วเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยและบริวารได้ปลูกบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับเพิงและได้ครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าวโดยความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 40 ปีแล้ว ก่อนที่โจทก์ได้กล่าวมาในคำบรรยายฟ้องจึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 25269 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนแล้วเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยในปัญหานี้ว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย แม้จำเลยจะให้การต่อมาว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวด้วยความสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ แต่ก็เป็นการครอบครองที่ดินที่อ้างว่าจำเลยมีสิทธิอยู่แล้ว กรณีหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่ เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ปัญหาการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นเป็นเรื่องนอกคำให้การ ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท เห็นว่า คดีนี้เดิมจำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 25269 และจำเลยอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวมาก่อนโจทก์เกินกว่า 30 ปี มิใช่ที่ดินของโจทก์ แต่ก็เป็นของจำเลยและจำเลยได้ปลูกบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2540 เป็นว่า จำเลยเข้าครอบครองที่ดินบริเวณที่ปลูกบ้านกับเพิงมาก่อนที่โจทก์ได้กล่าวมาในคำบรรยายฟ้อง โดยปลูกบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับเพิงและเข้าครอบครองที่ดินในบริเวณที่ปลูกบ้านกับเพิงโดยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การแล้ว ดังนั้น ตามคำให้การที่แก้ไขใหม่ข้อต่อสู้เดิมที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่เป็นข้อต่อสู้อีกต่อไป การครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงมิใช่เป็นการครอบครองที่ดินที่จำเลยมีสิทธิอยู่แล้วดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย คดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
อนึ่ง คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทเป็นเงิน 11,250 บาท ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเป็นเงิน 5,000 บาท เป็นการกำหนดเกินกว่าอัตราขั้นสูงตามที่กฎหมายกำหนดตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณความแพ่งและปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาเป็นเงินรวม 10,975 บาท ส่วนจำเลยเสียค่าขึ้นศาลศาลฎีกามาเป็นเงิน 910 บาท ทั้งโจทก์และจำเลยต่างเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเกินมา ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์และจำเลย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ส่วนที่โจทก์เสียเกินมาแก่โจทก์ และค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่จำเลยเสียเกินมาแก่จำเลย ส่วนค่าทนายความในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากนี้ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share