คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีอาญา การกระทำของจำเลยดังกล่าวอาจทำให้ผู้กระทำความผิดในคดีอาญาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ นับเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายและทำให้เกิดความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมของรัฐเป็นอย่างยิ่ง พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบและมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลที่คิดจะกระทำการเช่นจำเลยสมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 วรรคสอง จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีอาญา การกระทำของจำเลยดังกล่าวอาจเป็นเหตุให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งอาจทำให้ผู้กระทำความผิดในคดีดังกล่าวหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ นับเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายและทำให้เกิดความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมของรัฐเป็นอย่างยิ่ง พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบและมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นที่คิดจะกระทำการเช่นจำเลยสมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share