แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความ เพราะพนักงานสอบสวนไม่สามารถสอบสวนผู้เสียหายเป็นพยานได้ โจทก์อ้างส่งแต่คำให้การชั้นสอบสวนของพยานที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์และจำหน้าคนร้ายได้ ซึ่งเป็นเพียงพยานบอกเล่า คำตำรวจผู้จับก็มีแต่ว่า ภริยาผู้เสียหายแจ้งให้จับจำเลยและพยานให้ดูตัว ผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายยิงผู้เสียหาย คำตำรวจผู้จับก็เป็นพยานบอกเล่า แม้จำเลยให้การรับสารภาพต่อผู้จับ คำรับสารภาพ ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธย่อมไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 83 จำคุกคนละ 9 ปี ริบกระสุนปืนของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ของกลาง คงให้ริบ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ในปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้ปืนยิงผู้เสียหายหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยาน เพราะพนักงานสอบสวนไม่สามารถสอบสวนผู้เสียหายเป็นพยานได้ ส่วนพยานที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์และจำหน้าคนร้ายที่ใช้ปืนยิงผู้เสียหายได้ โจทก์ก็ไม่ได้ตัวมาเบิกความเป็นพยานเช่นเดียวกันคงอ้างส่งแต่คำให้การชั้นสอบสวนซึ่งเป็นเพียงพยานบอกเล่า พยานโจทก์นอกจากนี้คงมีจ่าสิบตำรวจสวัสดิ์ คงเสน่ห์ เจ้าพนักงานผู้จับจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า นางพยอมภริยาผู้เสียหายเป็นผู้แจ้งให้จับจำเลยทั้งสองขณะเดินอยู่ที่ข้างตึกคนไข้ภายในโรงพยานบาลสุราษฎร์ธานีและพยานให้ผู้เสียหายดูตัวจำเลยทั้งสอง ผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นคนร้ายซึ่งร่วมกันใช้ปืนยิงผู้เสียหาย แต่คำจ่าสิบตำรวจสวัสดิ์เป็นพยานบอกเล่า ความจริงจะเป็นประการใดบุคคลทั้งสองหาได้มาเบิกความยืนยันต่อศาลไม่ แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพต่อเจ้าพนักงานผู้จับคำรับสารภาพนั้นก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า เมื่อจำเลยผู้บอกเล่ามากล่าวแก้ปฏิเสธควมจริงเป็นอย่างอื่น คำให้การรับสารภาพนั้นย่อมไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าพยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลยต่อไป”
พิพากษายืน