คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3039/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมอบอำนาจให้ ก. ทำสัญญาจำนองเพื่อให้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน และตามสัญญาจำนองมีข้อความระบุชัดแจ้งว่า คู่สัญญาตกลง ให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินด้วย สัญญาจำนองดังกล่าว มีผู้รับมอบอำนาจจำเลยเป็นผู้ลงชื่อไว้แทนจำเลย ซึ่งมีผลเสมอกับลายมือชื่อ ของจำเลย สัญญาจำนองย่อมมีผลเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่ผูกพันจำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันถัดวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควร แก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ จึงไม่ถูกต้อง กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2539 จำเลยมอบอำนาจให้นางกรรณิการ์ปริปุณณะ กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 250,000 บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1817, 1901 และ 1902 เป็นประกันหนี้ดังกล่าว โดยให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตกลงคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยเดือนละครั้ง และจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยและไถ่ถอนจำนองภายใน 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญา แต่จำเลยไม่เคยชำระหนี้ให้โจทก์เลย โจทก์ทวงถามแล้วแต่ไม่ได้รับชำระหนี้ โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแต่จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 21,875 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน271,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 250,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1817, 1901 และ 1902 ออกขายทอดตลาดเอาเงินที่ได้มาชำระหนี้โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อจำเลย มีเพียงสัญญาจำนองซึ่งจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อไว้ และคดีนี้โจทก์ มิได้ฟ้องบังคับจำนองแต่ขอให้บังคับตามสัญญากู้ยืม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 271,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 250,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1817, 1901 และ 1902ออกขายทอดตลาดเอาเงินที่ได้มาชำระหนี้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่า สัญญาจำนองจะถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้หรือไม่นั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2540 ของศาลชั้นต้น คู่ความได้แถลงรับกันว่า จำเลยได้มอบอำนาจให้นางกรรณิการ์ ปริปุณณะ ทำสัญญาจำนองเพื่อให้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินและปรากฏตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 4 มีข้อความระบุชัดแจ้งว่าคู่สัญญาตกลงให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินด้วย ซึ่งสัญญาจำนองดังกล่าวมีผู้รับมอบอำนาจจำเลยเป็นผู้ลงชื่อไว้แทนจำเลย ซึ่งมีผลเสมอกับลายมือชื่อของจำเลย สัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.2 ย่อมมีผลเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่ผูกพันจำเลยและฟ้องบังคับได้

อนึ่งคดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 271,875 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 250,000 บาท นับแต่วันถัดวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง กรณีจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และในชั้นอุทธรณ์ปรากฏว่าโจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์จึงไม่ถูกต้อง ทั้งสองกรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันถัดวันฟ้องในชั้นอุทธรณ์โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ จึงไม่ต้องกำหนดค่าทนายความให้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา1,200 บาท แทนโจทก์

Share