คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3705/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยให้เหตุผลในการตัดสินว่ากรณียังไม่มีพฤติการณ์ที่จะแสดงว่าจำเลยทั้งสองส่อเจตนาฉ้อโกงโจทก์ เป็นการยกฟ้องในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สมคบกันหลอกลวงอันเป็นการฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษายกอุทธรณ์โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองโดยเจตนาทุจริต ได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินและมีอำนาจจัดสรรที่ดินทำให้โจทก์หลงเชื่อยอมทำสัญญาจะซื้อที่ดินดังกล่าวพร้อมบ้านกับจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำให้จำเลยทั้งสอง ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลในการตัดสินว่า “กรณียังไม่มีพฤติการณ์ที่จะแสดงว่าจำเลยทั้งสองส่อเจตนาฉ้อโกงโจทก์” เป็นการยกฟ้องในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 10 โจทก์อุทธรณ์สรุปใจความว่าตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สมคบกันหลอกลวงอันเป็นการฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share