คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จะเป็นผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา177 นั้นความเท็จนั้นจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดี
โจทก์จ่ายเช็คให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างในการทำรั้วสังกะสี นายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วสังกะสีตามสัญญาโจทก์จึงอายัดเช็คไว้และไม่นำเงินเข้าบัญชีให้พอจ่ายตามเช็ค ภายหลังมีบุคคลที่ 3 อ้างว่าเป็นผู้ทรงเช็คนำเช็คนั้นมาฟ้องอาญาแก่โจทก์ฐานจ่ายเช็คไม่มีเงิน ศาลพิพากษายกฟ้องเรื่องเช็ค โดยเห็นว่าโจทก์อายัดเช็คไว้โดยไม่มีเจตนาทุจริตเพราะนายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วให้ตามสัญญาระหว่างพิจารณาคดีอาญาเรื่องเช็ค จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นว่านายหว่องหวั่นหลีได้นำเช็คนั้นมาแลกเงินสดของจำเลยไปและจำเลยถูกจับเรื่องเล่นการพนันไพ่เผร่วมกับนายหว่องหวั่นหลีแต่มิได้ถูกตำรวจยึดเช็คนั้นไปด้วยดังนี้ แม้ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญแก่คดีที่จะทำให้โจทก์ต้องรับโทษในคดีเรื่องเช็คนั้นแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสะพานเหลือง เลขที่ ข 2212560 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2506 เป็นจำนวนเงิน39,000 บาท ให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างทำรั้วสังกะสี แต่นายหว่องหวั่นหลีทำรั้วสังกะสีให้โจทก์ไม่เสร็จตามข้อตกลง โจทก์จึงอายัดเช็คนั้นไว้ ต่อมานายบวรได้นำเช็คดังกล่าวมาฟ้องโจทก์ในข้อหาอาญาว่าออกเช็คไม่มีเงินในคดีแดงที่ 1908/2506 ของศาลอาญาครั้นในวันที่ 13 สิงหาคม 2506 เวลากลางวัน จำเลยนี้ได้สาบานตัวเบิกความในคดีอาญาดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2505นายหว่องหวั่นหลีได้นำเช็คดังกล่าวนั้นมาแลกเงินสดกับจำเลย และจำเลยได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับหาว่าเล่นการพนันไพ่เผรวมกับนายหว่องหวั่นหลี แต่ตำรวจไม่ได้ยึดเช็คดังกล่าวไปจากจำเลยคงยึดแต่เงินสดในวงการพนันไปเท่านั้น ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้นเพราะความจริงนายหว่องหวั่นหลีไม่เคยนำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินสดกับจำเลยและเช็คนั้นก็ได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเอาไปจากวางการพนันเป็นของกลางด้วย การเบิกความเท็จของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะถ้าศาลเชื่อคำของจำเลย โจทก์ก็อาจถูกศาลอาญาพิพากษาลงโทษในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นได้ และโจทก์อาจต้องใช้เงินแก่นายบวรไม่น้อยกว่า 39,000 บาท เหตุเกิดที่ศาลอาญา ตำบลพระราชวัง อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องมีมูลประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ให้จำคุกจำเลย 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยที่หาว่าเท็จนั้น ไม่ใช่ข้อสารสำคัญของคดี พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า โจทก์ได้ออกเช็คจำนวนเงิน 39,000 บาท นั้นให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างทำรั้วสังกะสี และมีนายเอี้ยวแซ นายหว่องหวั่นหลีกับจำเลยเป็นผู้สลักหลังเช็คนั้น ต่อมาเช็คนั้นได้ตกมาอยู่แก่นายบวรในฐานะผู้ทรงเช็ค นายบวรนำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จึงแจ้งความพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ในฐานะผู้ออกเช็ค ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องนางอาก้อนโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยในคดีอาญาฐานออกเช็คไม่มีเงินซึ่งในที่สุดศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่นายอาก้อนโจทก์ได้อายัดเช็ครายนี้ไว้และไม่นำเงินเข้าบัญชีให้พอจ่ายตามเช็คนั้นได้ทำไปโดยไม่มีเจตนาทุจริต เพราะนายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วให้นายอาก้อนตามสัญญา จึงพิพากษายกฟ้อง ปล่อยตัวนายอาก้อนโจทก์คดีถึงที่สุดแล้ว ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1908/2506 ของศาลอาญา

ฉะนั้น การที่นายหว่องหวั่นหลีนำเช็ครายนี้ไปแลกเงินสดกับจำเลยหรือไม่ หรือตำรวจจะยึดเอาเช็คนั้นไปจากวางการพนันหรือไม่ จึงไม่เป็นข้อสำคัญแก่คดีที่จะทำให้นายอาก้อนต้องรับโทษในคดีเรื่องเช็คนั้นแต่อย่างใด แม้จำเลยจะเบิกความดังกล่าวโดยเป็นความเท็จ ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญแห่งคดีจึงยังไม่เป็นผิดดังฟ้อง

จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย

Share