คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่นาซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเมื่อเจ้าของขายและมอบการครอบครองให้โจทก์แล้ว โจทก์ก็ได้สิทธิครอบครองในที่นั้นไม่ใช่โจทก์ได้สิทธิครอบครองโดยการแจ้งการครอบครอง
จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่ากับโจทก์ตลอดมาจนถึง พ.ศ.2503แต่เมื่อที่พิพาทที่จำเลยเช่ามีเนื้อที่เพียง 40 ไร่ และอยู่ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นท้องที่ที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2493และพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 9(2) กำหนดให้สัญญาเช่ามีอายุต่อไปอีก 5 ปี ในเมื่อจำเลยประสงค์จะเช่าต่อไป เมื่อจำเลยยังคงยึดถือครอบครองนาพิพาทต่อมา ก็ต้องถือว่าจำเลยประสงค์จะเช่าต่อไปสัญญาเช่านาระหว่างโจทก์จำเลยจึงมีอายุต่อไป 5 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ.2503 ถึง พ.ศ.2507เมื่อถือว่าจำเลยเช่านาจากโจทก์ตลอดมากรณีเป็นเรื่องจำเลยยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความเมื่อจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ตลอดมาจนถึง พ.ศ.2503 และสัญญาเช่ามีอายุต่อไปจนถึง พ.ศ.2507 ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2493 มาตรา 9(2)แม้สัญญาเช่าจะมิได้ทำเป็นหนังสือจำเลยก็ต้องชำระค่าเช่านาในปีการเช่าดังกล่าวให้โจทก์ตามพระราชบัญญัตควบคุมการเช่านา พ.ศ.2493 มาตรา 12
เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยมีอายุเพียงสิ้น พ.ศ. 2507การที่จำเลยยังคงทำนาพิพาทตลอดมา ต้องถือว่าจำเลยเข้าทำโดยละเมิดต่อโจทก์แม้โจทก์จะขอให้จำเลยชำระค่าเช่าจนกว่าจำเลยจะเลิกทำนา ก็เป็นที่เห็นได้ว่า ค่าเช่าที่โจทก์ฟ้องเรียกตั้งแต่วันที่โจทก์จำเลยไม่มีสัญญาเช่าผูกพันต่อกันนั้นก็คือค่าเสียหายนั่นเอง ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชดใช้ให้โจทก์ได้ (อ้างฎีกาที่ 857-858-859/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่นา ตามหนังสือแจ้งการครอบครองที่ 49/2501 เนื้อที่ 750 ไร่ จำเลยเช่านาโจทก์ดังกล่าวทำ จำเลยไม่ชำระค่าเช่า ได้โต้แย้งในการที่โจทก์นำรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเช่า ฯลฯ

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเช่านาพิพาทจากโจทก์ จำเลยซื้อจากผู้มีชื่อครอบครองโดยสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเช่าจากโจทก์ โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือกับจำเลยพิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องคำขออื่นให้ยก

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นาพิพาทตกอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 มาตรา 12 แม้การเช่าจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยก็ต้องมีหน้าที่ชำระค่าเช่า พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างเป็นข้าวเปลือก 200 ถัง หรือคิดเป็นเงิน 2,000 บาท และค่าเช่าในอัตราเดียวกันตั้งแต่ พ.ศ. 2505 จนกว่าจำเลยจะเลิกทำนาโจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครอง และเห็นว่าที่พิพาทเป็นที่นาซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน เมื่อเจ้าของนาขายให้โจทก์ และมอบการครอบครองให้โจทก์แล้ว โจทก์ก็ได้สิทธิครอบครอง ไม่ใช่โจทก์ได้สิทธิครอบครองโดยการแจ้งการครอบครอง

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่ากับโจทก์จนถึง พ.ศ. 2503 เมื่อที่พิพาทที่จำเลยเช่ามีเพียง 40 ไร่ อยู่ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นท้องที่ที่ประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 และพระราชบัญญัตินี้มาตรา 9(2) กำหนดให้สัญญาเช่ามีอายุต่อไปอีก 5 ปี ในเมื่อจำเลยประสงค์จะเช่าต่อไป ฉะนั้น เมื่อจำเลยยังคงยึดถือครอบครองนาพิพาทต่อมา ก็ต้องถือว่าจำเลยประสงค์จะเช่าต่อไปฉะนั้น สัญญาเช่านาระหว่างโจทก์จำเลยจึงมีกำหนดอายุต่อไป 5 ปีคือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ถึง พ.ศ. 2507 เมื่อถือว่าจำเลยเช่านาจากโจทก์ตลอดมา กรณีเป็นเรื่องจำเลยยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่า จำเลยไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เมื่อจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ตลอดมาจนถึงพ.ศ. 2503 และสัญญาเช่ามีอายุต่อไปจนถึง พ.ศ. 2507 ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 มาตรา 9(2) แม้สัญญาเช่าจะมิได้ทำเป็นหนังสือ จำเลยก็ต้องชำระค่าเช่านาในปีการเช่าดังกล่าวให้โจทก์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 มาตรา 12 ส่วนข้อที่โจทก์ขอให้จำเลยชำระค่าเช่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 และ ตลอดไปจนกว่าจำเลยจะเลิกทำนาพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อวินิจฉัยว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยมี อายุเพียงสิ้นปี พ.ศ. 2507 การที่จำเลยยังคงทำนาพิพาทตลอดมาต้องถือว่าจำเลยเข้าทำโดยละเมิดต่อโจทก์แม้โจทก์จะขอให้จำเลยชำระค่าเช่าจนกว่าจำเลยจะเลิกทำนาพิพาทก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่าค่าเช่าที่โจทก์ฟ้องเรียกตั้งแต่วันที่โจทก์จำเลยไม่มีสัญญาเช่าผูกพันต่อกันแล้วก็คือค่าเสียหายนั่นเอง ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชดใช้ให้โจทก์ได้ (อ้างฎีกาที่ 857,858, 859/2503)

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเช่าที่ค้างชำระ พ.ศ. 2504 เป็นข้าวเปลือก 200 ถัง หรือคิดเป็นเงิน 2,000 บาท กับค่าเช่าและค่าเสียหายเป็นข้าวปีละ 200 ถัง หรือคิดเป็นเงิน 2,000 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ตลอดไปจนกว่าจำเลยจะเลิกทำนาโจทก์

พิพากษายืน

Share