คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3743/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายถูกจำเลยใช้มีดขอฟันที่หน้าผากอย่างแรงและเป็นการ เลือกฟันที่ส่วนสำคัญของร่างกายขนาดของมีดขอมีใบมีดยาว12 นิ้วและด้ามยาว 7 นิ้ว นับว่าเป็นมีดขอขนาดใหญ่ที่อาจใช้เป็นอาวุธฟันทำอันตรายบุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้บาดแผลที่ศีรษะผู้เสียหาย หากมีการติดเชื้ออาจเป็นฝีที่สมองและผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้แม้จำเลยจะฟันถูกผู้เสียหายครั้งเดียว จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลจาก แพทย์ทันท่วงที การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่า เป็นการกระทำโดยมี เจตนาฆ่าผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของ จำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
การกระทำโดยบันดาลโทสะที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับความปรานีจากศาลให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ได้นั้น จะต้องปรากฏว่า ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้พูดจาหยาบคายก้าวร้าวจำเลยโดยพูดให้ของลับแก่จำเลยขณะที่ผู้เสียหายเดินผ่านหน้าจำเลย แม้ผู้เสียหายพูดอีกว่า “จับผัวมันไว้ ปล่อยเมียมันมา”ก็ไม่ได้ความว่ามีความหมายอย่างไร หรือผู้เสียหายจะกระทำอย่างไรตามที่ตนพูด การกระทำของผู้เสียหายจึงน่าจะเป็นการยั่วโทสะจำเลยด้วยความคะนองปากตามประสาคนเมาสุราเท่านั้น ซึ่ง ไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ ไม่เป็นธรรม การที่จำเลยมีความโกรธแค้นและทำร้ายผู้เสียหาย ในขณะนั้น จำเลยจะมาอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 288 และริบมีดขอของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพว่าใช้มีดขอกวัดแกว่งไปถูกผู้เสียหายจริง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบมีดขอของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (ที่ถูกมาตรา 297(8)) จำคุก 3 ปีคำให้การและคำเบิกความของจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยใช้มีดขอของกลางเป็นอาวุธฟันถูกนายชิต ผัสดี ผู้เสียหายที่บริเวณศีรษะเหนือคิ้วซ้ายเป็นบาดแผลตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ และมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าจำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวรวมกันไป โจทก์มีนายสุทัศน์ ผัสดี เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุพยานและผู้เสียหายได้เดินผ่านหน้าบ้านจำเลยจะไปซื้อสุรา ขณะนั้นจำเลยกำลังนอนดูรายการจากเครื่องรับโทรทัศน์อยู่ใต้ถุนบ้าน ผู้เสียหายซึ่งมีอาการเมาสุราได้พูดด้วยเสียงอันดังว่า”จับผัวมันไว้ปล่อยเมียมันมา” เมื่อพยานและผู้เสียหายซื้อสุราแล้วก็เดินกลับ ขณะเดินมาใกล้จะถึงบ้านจำเลย ผู้เสียหายได้พูดขึ้นว่า “ควย ๆ ” ด้วยเสียงดังพอสมควร พยานเข้าใจว่าจำเลยคงจะได้ยินแล้วพยานและผู้เสียหายได้เดินกลับไปที่บ้านนายศรีเลย ต่อมาพยานและผู้เสียหายได้พากันไปซื้อสุราอีกครั้งหนึ่ง ขากลับขณะเดินผ่านหน้าบ้านจำเลย พยานเห็นจำเลยตรงเข้ามาใช้มีดขอฟันผู้เสียหายหลายครั้งพยานได้เข้าผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันปรากฏว่า จำเลยใช้อาวุธมีดฟันถูกผู้เสียหายบริเวณศีรษะมีโลหิตไหลซึ่งความในข้อนี้โจทก์ได้นำผู้เสียหายมาเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุ ผู้เสียหายกำลังเดินผ่านหน้าบ้านจำเลยจำเลยได้เดินตรงเข้ามาที่ผู้เสียหายแล้วใช้มีดขอของกลางฟันผู้เสียหายที่บริเวณศีรษะและหลังหลายครั้ง เห็นว่า นายสุทัศน์ และจำเลยเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ถือได้ว่านายสุทัศน์เป็นพยานคนกลางจึงเชื่อได้ว่านายสุทัศน์เบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปตามความสัตย์จริงโดยมิได้ช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในชั้นสอบสวน จำเลยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้พูดตะโกนให้ของลับจำเลยหลายครั้งในลักษณะท้าทายจำเลย จำเลยได้ตั้งสติจนทนไม่ไหวจึงหยิบมีดของกลางตรงเข้าไปฟันผู้เสียหายทันที ซึ่งสอดคล้องตรงกับคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวข้างต้น ที่จำเลยมาเบิกความในชั้นพิจารณาโต้เถียงว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเพียงแต่ถือมีดแกว่งไปข้างหน้า2 ถึง 3 ครั้ง และบังเอิญไปถูกศีรษะผู้เสียหายนั้นแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่จำเลยเคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ในข้อนี้ได้ ได้ความจากคำเบิกความของนายสุทัศน์ประจักษ์พยานโจทก์ว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากบ้านใกล้เคียงสามารถมองเห็นกันได้สอดคล้องตรงกับคำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟจากหลอดไฟนีออน 1 หลอด และหลอดไฟฟ้าจากบ้านข้างเคียงสามารถมองเห็นชัดเจนในระยะ 3 ถึง 4 เมตร จึงฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยสามารถมองเห็นผู้เสียหายได้ถนัดชัดเจน สำหรับบาดแผลที่ศีรษะผู้เสียหายนั้นได้ความจากคำเบิกความของนายสมพงษ์ ตันติธนวัฒน์แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลผู้เสียหาย พยานโจทก์ว่าพยานตรวจพบว่าที่บริเวณหน้าผากด้านซ้ายของผู้เสียหายมีบาดแผลเป็นแนวเฉียงยาวประมาณ 5 เซนติเมตร กะโหลกศีรษะใต้บาดแผลมีรอยแตกและยุบลงไปประมาณครึ่งเซนติเมตร แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายถูกจำเลยใช้มีดขอฟันอย่างแรงและเป็นการเลือกฟันที่ส่วนสำคัญของร่างกาย ทั้งขนาดของมีดขอก็ได้ความจากคำเบิกความของสิบตำรวจโทวิทย์ กุณทา พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจยึดได้มีดขอมาเป็นของกลางว่าใบมีดยาว12 นิ้ว และด้ามยาว 7 นิ้ว นับว่าเป็นมีดขอขนาดใหญ่ที่อาจใช้เป็นอาวุธฟันทำอันตรายบุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้ สำหรับบาดแผลที่ศีรษะผู้เสียหายดังกล่าวนายสมพงษ์แพทย์ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายพยานโจทก์เบิกความว่า หากมีการติดเชื้ออาจเป็นฝีที่สมองและผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ ตามพฤติการณ์แม้จำเลยจะฟันถูกผู้เสียหายครั้งเดียว จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์ทันท่วงทีการกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามฟ้องดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยส่วนปัญหาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า การกระทำโดยบันดาลโทสะที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับความปรานีจากศาลให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ได้นั้น จะต้องปรากฏว่าผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น แต่ตามทางพิจารณาคงได้ความจากคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์และคำเบิกความของจำเลยว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้พูดจาหยาบคายก้าวร้าวจำเลยโดยพูดให้ของลับแก่จำเลยขณะที่ผู้เสียหายเดินผ่านหน้าบ้านจำเลย แม้ผู้เสียหายพูดอีกว่า”จับผัวมันไว้ ปล่อยเมียมันมา” ตามทางพิจารณาก็ไม่ได้ความว่ามีความหมายอย่างไรหรือผู้เสียหายจะกระทำอย่างไรตามที่ตนพูดการกระทำของผู้เสียหายจึงน่าจะเป็นการยั่วโทสะจำเลยด้วยความคะนองปากตามประสาคนเมาสุราเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยมีความโกรธแค้นและทำร้ายผู้เสียหายในขณะนั้นจำเลยจะมาอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายหาได้ไม่เมื่อคดีนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้มีดขอของกลางเป็นอาวุธฟันศีรษะผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าแล้ว ที่จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่าผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัสจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษานี้ได้ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นสมควรให้ลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยลงโทษจำคุกจำเลยในอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ดังนี้จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะพิจารณาลงโทษจำคุกจำเลยให้เบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดได้อีก และเนื่องจากคดีนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำเลยหลังจากลดโทษแล้วคงให้จำคุก 6 ปี 8 เดือน อันเป็นโทษจำคุกที่เกินกว่า2 ปี จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะพิจารณารอการลงโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็น ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share