แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ปัญหาว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการยอมรับตามฟ้องโจทก์ในประเด็นว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์อันเป็นเหตุหย่าหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง
คำให้การจำเลยบรรยายว่า “ข้อ 1 จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น” และ “ข้อ 3 โจทก์ทำตัวเองไม่เหมาะสมในการเป็นหัวหน้าครอบครัว กล่าวคือ ไปติดพันหญิงอื่น หาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอ ไม่เคยกลับมาให้ความอบอุ่นแก่บุตรและครอบครัวซึ่งเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือน โจทก์จึงโกรธและทำร้ายทุบตีจำเลยและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้าน” เมื่อพิจารณาประกอบกันเห็นว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับในประเด็นจงใจละทิ้งร้างโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2524 และมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กชาย ณ. ไมตรีแพน อายุ 11 ปี กับเด็กหญิง ป. ไมตรีแพน อายุ 7 ปี ระหว่างปี 2535ถึง 2537 จำเลยได้ก่อหนี้โดยกู้เงินบุคคลอื่นจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านบาทมาใช้จ่ายส่วนตัวโดยไม่บอกโจทก์โดยเฉพาะเมื่อปลายปี 2536 จำเลยมีส่วนพัวพันในการค้ายาเสพติดให้โทษอันเป็นการประพฤติชั่วทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงได้รับความดูถูกเกลียดชัง และได้รับความเดือดร้อนเกินควรเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ นอกจากนี้เมื่อเดือนมกราคม 2537 จำเลยได้หนีออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นอันเป็นการจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปี โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยอีกต่อไป ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ณ. ไมตรีแพน กับเด็กหญิง ป. ไมตรีแพนบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น และไม่ได้กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันแต่อย่างใดจำเลยไม่เคยพัวพันค้ายาเสพติดให้โทษและไม่เคยกู้เงินบุคคลอื่น โจทก์เสียอีกกลับเป็นฝ่ายไปติดพันหญิงอื่นหาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอครั้นเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือน โจทก์จึงโกรธและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้านเพื่อฟ้องหย่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้เด็กชาย ณ. ไมตรีแพน กับเด็กหญิง ป. ไมตรีแพน อยู่ในความปกครองของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าคำให้การของจำเลยถือเป็นการยอมรับตามฟ้องในประเด็นที่ว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์อันเป็นเหตุหย่าหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยเป็นประการแรก เห็นว่า ตามคำให้การจำเลยบรรยายว่า”ข้อ 1 จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น” และ “ข้อ 3โจทก์ทำตัวเองไม่เหมาะสมในการเป็นหัวหน้าครอบครัว กล่าวคือ ไปติดพันหญิงอื่น หาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอ ไม่เคยกลับมาให้ความอบอุ่นแก่บุตรและครอบครัว ซึ่งเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือนโจทก์จึงโกรธและทำร้ายทุบตีจำเลยและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้าน”เมื่อพิจารณาถ้อยความดังกล่าวประกอบกัน พอเห็นได้ว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องจงใจละทิ้งร้างแล้วโดยให้การต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายหาเหตุออกจากบ้านไปเองเช่นนี้จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับในประเด็นจงใจละทิ้งร้างโจทก์ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในกรณีเช่นนี้ ก่อนมีคำพิพากษาชอบที่ศาลชั้นต้นจะฟังข้อเท็จจริงตามประเด็นที่คู่ความนำสืบเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่าขาดโดยไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการยอมรับหรือไม่นี้ แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ไม่ได้ยกข้อกฎหมายนี้ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาที่ว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการยอมรับหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง และศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยเสียเองโดยไม่ย้อนสำนวน ปัญหาต่อไปที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยประพฤติชั่วและจงใจละทิ้งร้างโจทก์อันเป็นเหตุหย่าหรือไม่ โจทก์เบิกความว่าระหว่างเป็นสามีภริยากัน จำเลยสร้างหนี้สินเป็นจำนวนมากนับล้านบาท ทั้งจำเลยมีพฤติการณ์พัวพันการค้ายาเสพติดให้โทษ ความดังกล่าวโจทก์มีนางมาลี ศรพ่วง นางงามพร้อม เดชขุนทด นางจรัสศรี ทองสมบูรณ์ นางจิราภา โพธิพัฒน์ และพันตำรวจเอกเชิด ชูเวชเป็นพยานเบิกความสนับสนุนแต่พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆปราศจากพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้เห็นจริงโดยเฉพาะพันตำรวจเอกเชิดเป็นพยานรับบอกเล่า ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องคดีเกี่ยวกับเรื่องดังที่โจทก์กล่าวหา พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุหย่า ส่วนจำเลยเบิกความว่า โจทก์แยกตัวจากจำเลยเพราะโจทก์เองเป็นฝ่ายสมัครใจไปอยู่กินกับหญิงอื่น ความข้อนี้จำเลยมีเด็กชาย ณ. ไมตรีแพน และเด็กหญิง ป. ไมตรีแพน บุตรโจทก์จำเลยเป็นพยานเบิกความสนับสนุนซึ่งข้อเท็จจริงมีทางเป็นไปได้ พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีเหตุผลและน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์คดีฟังได้ว่าจำเลยมิได้จงใจละทิ้งร้างโจทก์ คดีโจทก์ไม่มีเหตุหย่า ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง