แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของ ท.ต่อจำเลย เป็นการยอมผูกพันตนต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของ ท.เพื่อชำระหนี้ในเมื่อท. ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้อันเป็นการผูกพันตัวโจทก์ที่ 1 มิได้เกี่ยวกับสินสมรสและหาได้ก่อให้เกิดภารติดพันซึ่งสินสมรสไม่ จึงมิใช่เป็นการจัดการสินสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1476,1477 อันโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นภริยาจะต้องให้ความยินยอมร่วมกันเป็นหนังสือตามมาตรา 1479 โจทก์ที่ 2 จึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอน สัญญาค้ำประกันดังกล่าวตามมาตรา 1480 วรรคสอง ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าขอให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกันที่โจทก์ที่ 1 ค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของ ท. ไว้ต่อจำเลย โดยอ้างว่าทำนิติกรรมดังกล่าวไปโดยโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ให้ความยินยอมเป็นหนังสือและมิได้ให้สัตยาบัน ทั้งได้ขอเพิกถอนสัญญาค้ำประกันแล้ว จึงตกเป็นโมฆะ
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของ ท. โดยสมัครใจ โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกันได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคลคือตัวโจทก์ที่ 1 เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสินสมรสแต่อย่างใด จึงหาใช่การจัดการสินสมรส ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกันดังกล่าว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของ ท. ไว้ต่อจำเลย เป็นการที่โจทก์ที่ 1 ยอมผูกพันตนต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของ ท. เพื่อชำระหนี้ในเมื่อ ท. ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ อันเป็นการผูกพันตัวโจทก์ที่ 1 มิได้เกี่ยวกับสินสมรสหาได้ก่อให้เกิดภารติดพันซึ่งสินสมรสไม่ จึงมิใช่เป็นการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1477 อันโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นภริยาจะต้องให้ความยินยอมร่วมกันเป็นหนังสือตามมาตรา 1479แต่อย่างใด โจทก์ที่ 2 จึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาค้ำประกันดังกล่าวตามมาตรา 1480 วรรคสอง ไม่ได้
พิพากษายืน