คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2119/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวโดยสรุปถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกับพวกร่วมกันกระทำผิดคือ นำไม้สักของกลางเข้ามาในราชอาณาจักร และระหว่างวันเวลาเดียวกันร่วมกันมีไม้ของกลางจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองเป็นความผิดทั้งนี้การกระทำของจำเลยกับพวกทั้งสองประการดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างวันเวลาและสถานที่เดียวกันเจ้าพนักงานยึดได้ไม้จำนวนเดียวกันเป็นของกลาง ดังนี้ย่อมเข้าใจได้ว่าในส่วนที่เกี่ยวกับไม้ของกลางที่มีอยู่จำนวนเดียวนั้น โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกับพวกร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นความผิดและมีไว้ในครอบครองเป็นความผิดด้วยไม่ทำให้เข้าใจไปว่าไม้ของกลางที่มีอยู่จำนวนเดียวเป็นไม้ที่จำเลยกับพวกนำเข้ามาในราชอาณาจักรและมิได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในคราวเดียวกันอันเป็นการขัดแย้งกันแต่อย่างใดส่วนปัญหาที่ว่าจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยเมื่อมีคำพิพากษาหาทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่หากเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2520 ถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2520 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำผิดนำไม้สักท่อนจากสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่าเข้ามาในราชอาณาจักรจำนวน 740 ท่อน ปริมาตร 961 ลูกบาศก์เมตรราคา 7,536,070 บาท คิดเป็นอากรขาเข้า 75,630 บาท 70 สตางค์ ภาษีการค้า127,184 บาท 36 สตางค์ และภาษีบำรุงท้องที่ 12,718 บาท 43 สตางค์ โดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มิได้นำผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง มีเจตนาหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัดอันเกี่ยวกับการนำเข้าและนำของเข้าเขตแดนทางบกนอกทางอนุมัติโดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากอธิบดีหรือผู้แทนและหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีศุลกากรด้วยเจตนาฉ้อภาษีรัฐที่จะต้องเสียตามกฎหมายและตามวันเวลาดังกล่าวแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันมีไม้สักท่อน อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 จำนวน 740 ท่อน ปริมาตร 961 ลูกบาศก์เมตรคิดเป็นค่าภาคหลวง 144,150 บาท และไม้ดังกล่าวอยู่ในลักษณะไม้หวงห้ามที่ยังไม่ได้แปรรูป ไม่มีรอยตรารัฐบาลประทับไว้และไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง ไว้ในความครอบครองของจำเลยโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานและจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นไม้ที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลแม่ปะอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2520 เจ้าพนักงานยึดได้ไม้จำนวน 740 ท่อนที่จำเลยร่วมกันกระทำผิดดังกล่าวเป็นของกลาง โดยมีผู้แจ้งความนำจับเพื่อขอรับสินบนรางวัลด้วย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2480 มาตรา 5, 10 พระราชบัญญัติ(ฉบับที 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 6, 16, 17 พระราชบัญญัติ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490มาตรา 3 ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 329 ข้อ 16 พระราชบัญญัติควบคุมการสั่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง พ.ศ. 2482มาตรา 3, 9 พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 มาตรา 5,7, 20 พระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2496 มาตรา 3 ประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 84) พ.ศ. 2520 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 69, 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2508 มาตรา 28พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 3, 9 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 6, 9 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ริบไม้ของกลาง จ่ายสินบนและรางวัลนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2523 ว่า ไม้จำนวน 740 ท่อนที่โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากรและพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกฯ กับที่บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ เป็นไม้จำนวนเดียวกันกองเดียวกัน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์บรรยายฟ้องตอนแรกว่า จำเลยกับพวกนำไม้ของกลางเข้ามาในราชอาณาจักร ตอนหลังบรรยายว่าวันเวลาเดียวกันมีไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตทั้ง ๆ ที่เป็นไม้จำนวนเดียวกันเท่ากับว่าเป็นไม้จากต่างประเทศและในประเทศขัดกันอย่างชัดแจ้ง ถือว่าคำฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) พิพากษายกฟ้องคืนไม้ของกลางแก่จำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่พอถือว่าฟ้องขัดกัน คำฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยต่อไป แล้พิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวโดยสรุปถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกับพวกร่วมกันกระทำผิดคือนำไม้สักของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรและระหว่างวันเวลาเดียวกันร่วมกันมีไม้ของกลางจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองเป็นความผิด ทั้งนี้การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกทั้งสองประการดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นระหว่างวันเวลาและสถานที่เดียวกัน เจ้าพนักงานยึดได้ไม้จำนวนเดียวกันเป็นของกลาง ดังนี้ ย่อมเข้าใจได้ว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับไม้ของกลางที่มีอยู่จำนวนเดียวนั้น โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกับพวกร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นความผิดและมีไว้ในครอบครองเป็นความผิดด้วย ไม่ทำให้เข้าใจว่าไม้ของกลางที่มีอยู่จำนวนเดียวเป็นไม้ที่จำเลยกับพวกนำเข้ามาในราชอาณาจักรและมิได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในคราวเดียวกัน ขัดแย้งกันแต่อย่างใดไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำตามฟ้องไม่อาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ได้นั้นก็เป็นปัญหาที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเมื่อมีคำพิพากษาหาทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ หากเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share