แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยจ้างให้โจทก์ทำงานจนกว่าจำเลยจะหาคนทำงานแทนโจทก์ได้ เป็นเวลากว่า 3 ปี จำเลยจึงหาคนมาทำงานแทนโจทก์ได้ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ ดังนี้ โจทก์มิได้ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่จำเลยและจำเลยจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้นหากแต่เป็นเรื่องโจทก์ตกลงทำงานให้แก่จำเลยผู้เป็นนายจ้างในหน้าที่ซึ่งจำเลยมอบให้ และจำเลยตกลงจะให้สินจ้างเป็นรายเดือนตลอดเวลาที่โจทก์ทำงานให้ ลักษณะของสัญญาจ้างระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงาน หาใช่สัญญาจ้างทำของไม่
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 45 ประกอบด้วยข้อ 10 และข้อ 32 ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วัน และนายจ้างกับลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าสะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปรวมหยุดในปีอื่นก็ได้ เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำ โดยลูกจ้างไม่มีความผิด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน แม้ตามสภาพของงานโจทก์ต้องไปทำงานให้จำเลยสัปดาห์ละเพียง 2 หรือ3 วัน ก็ไม่มีกฎหมายหรือประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดข้อยกเว้นไว้ว่าลูกจ้างไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีอีกและไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กำหนดล่วงหน้าให้วันใดในแต่ละสัปดาห์เป็นวันทำงานซึ่งโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อน ฉะนั้น จึงจะถือว่านอกจากเวลาทำงานสัปดาห์ละ 2-3 วันแล้วนอกนั้นเป็นวันหยุดของโจทก์ทั้งสิ้นย่อมไม่ถูกต้อง การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยได้ทำงานให้จำเลยมาเป็นเวลากว่า 3 ปี โดยไม่เคยหยุดพักผ่อนประจำปีเลย จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีปีละ 6 วัน รวม 18 วัน
เมื่อจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เป็นนายจ้างซึ่งต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นแต่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และไม่ปรากฏเหตุที่จะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวต่อโจทก์ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์และข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะเป็นเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายกขึ้นอ้างได้เอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ได้บอกเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำผิดแต่อย่างใดและมิได้บอกกล่าวการเลิกจ้างให้โจทก์ทราบล่วงหน้า โจทก์ทำงานติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 1,400 บาท และโจทก์มิได้ลาหยุดพักผ่อนประจำปีเลย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ 8,400 บาทค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 1,680 บาท ค่าเสียหายเนื่องจากมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน 1,400 บาท ค่าเสียหายเนื่องจากเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ 5,000บาท รวมเป็นเงิน 16,480 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าวกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ขอให้โจทก์ทำงานเป็นการชั่วคราวจนกว่าจำเลยจะหาคนทำงานแทนโจทก์ได้ หากมีคนทำงานแทนได้ก็เป็นอันเลิกจ้างการปฏิบัติงานไม่จำเป็นต้องมาทุกวัน เดือนหนึ่ง ๆ อาจมาทำงานเพียงวันหรือสองวันก็ได้ไม่ต้องทำงานในเวลาราชการเพราะโจทก์เป็นลูกจ้างได้รับเงินเดือนประจำ ณ ที่อื่นอยู่แล้วเพื่อเป็นสินน้ำใจในการทำงานจำเลยจึงให้ค่าตอบแทนแก่โจทก์เดือนละ 1,400 บาท เมื่อจำเลยหาคนงานมาทำงานแทนโจทก์ได้แล้ว จำเลยจึงได้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องจ่ายเงินตามที่โจทก์เรียกร้องมาในฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพิจารณา ศาลแรงงานกลางสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่า ที่เรียกค่าเสียหายเนื่องจากถูกเลิกจ้างโดยเหตุไม่เป็นธรรมนั้น หมายถึงถูกเลิกจ้างโดยไม่มีสาเหตุอะไร และคู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์ไม่ต้องไปทำงานให้จำเลยทุกวัน ตามสภาพของงานอาจทำอาทิตย์ละ 2 หรือ 3 วัน ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว สั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย โจทก์ทำงานติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 3 ปี แล้วถูกเลิกจ้างโดยไม่มีสาเหตุ จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย 180 วัน และจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างอีก 1 เดือน สำหรับค่าทำงานในวันหยุดประจำปีนั้นตามสภาพของงาน โจทก์ทำงานเพียงสัปดาห์ละ 2-3 วันเท่านั้น จึงเป็นงานที่ต้องทำเมื่อเกิดความจำเป็นจึงอาจทำงานในวันหยุดด้วย นอกจากเวลาทำงานสัปดาห์ละ 2-3 วันแล้ว นอกนั้นก็เป็นวันหยุดของโจทก์ทั้งสิ้น โจทก์จะมาเรียกร้องค่าทำงานในวันหยุดอีกไม่ได้ ส่วนค่าเสียหาย 5,000 บาท เนื่องจากโจทก์อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ นั้น ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 46 นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องมีสาเหตุอะไร แต่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่กำหนดไว้ การเลิกจ้างโดยไม่มีสาเหตุอะไรนั้นจะถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมไม่ได้ และศาลก็ได้กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แล้ว กรณีไม่เข้ามาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายในส่วนนี้
พิพากษาให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย6 เดือน เป็นเงิน 8,400 บาท ค่าจ้างสำหรับการที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะเลิกสัญญา มีกำหนด 1 เดือน เป็นเงิน 1,400 บาท รวมเป็นเงิน 9,800บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่เลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินต้นเสร็จ คำขออื่นให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า ถึงหากจะถือว่าประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน มุ่งหมายจะให้บังคับใช้แก่การจ้างแรงงาน ไม่ใช้แก่การจ้างทำของด้วย แต่การที่จำเลยจ้างให้โจทก์ทำหน้าที่ควบคุมดูแลห้องแล็บฯ จนกว่าจำเลยจะหาคนทำงานแทนโจทก์ได้โดยให้เงินเดือนแก่โจทก์เดือนละ 1,400 บาท เป็นเวลากว่า 3 ปี จำเลยจึงหาคนมาทำงานแทนโจทก์ได้แล้วจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์มิได้ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่จำเลยและจำเลยจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น หากแต่เป็นเรื่องโจทก์ตกลงทำงานให้แก่จำเลยผู้เป็นนายจ้างในหน้าที่ซึ่งจำเลยมอบให้ และจำเลยตกลงจะให้สินจ้างเป็นรายเดือนตลอดเวลาที่โจทก์ทำงานให้ ลักษณะของสัญญาจ้างระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงาน หาใช่สัญญาจ้างของดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่
วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 45 มีความว่า “ถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำโดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ 47 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามข้อ 10 และข้อ 32 ด้วย”ข้อ 10 วรรคแรกมีความว่า “ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาแล้วครบหนึ่งปีมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่ น้อยกว่าปีละหกวันทำงาน โดยให้นายจ้างเป็นผู้กำหนดล่วงหน้าให้” วรรคสองมีความว่า “นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าสะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปรวมหยุดในปีอื่นก็ได้”ข้อ 32 มีความว่า “ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างประจำเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานสำหรับวันหยุดต่อไปนี้ ฯลฯ (3) วันหยุดพักผ่อนประจำปี”แม้ตามสภาพของงานโจทก์ต้องไปทำงานให้จำเลยสัปดาห์ละเพียง 2 หรือ3 วันเท่านั้น แต่ก็ไม่มีกฎหมายหรือประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดข้อยกเว้นไว้ ณ ที่ใดว่าในกรณีที่จ้างลูกจ้างประจำให้ทำงานสัปดาห์ละไม่เกิน3 วันเช่นนี้ ลูกจ้างไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีอีกและการจ้างแรงงานระหว่างจำเลยกับโจทก์นี้ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กำหนดล่วงหน้าให้วันใดในแต่ละสัปดาห์เป็นวันทำงานซึ่งโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนที่ศาลแรงงานกลางถือว่า นอกจากเวลาทำงานสัปดาห์ละ 2-3 วันแล้วนอกนั้นเป็นวันหยุดของโจทก์ทั้งสิ้นนั้นจึงไม่ถูกต้อง ดังนั้น การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยได้ทำงานให้จำเลยมาเป็นเวลา 3 ปีกว่า โดยไม่เคยหยุดพักผ่อนประจำปีเลย จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีปีละ 6 วัน รวม 18 วัน เป็นเงิน 840 บาท
อนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้แก่โจทก์ด้วยนั้นยังเป็นการคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เป็นนายจ้างซึ่งต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นแต่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล (ดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง) ไม่ปรากฏเหตุที่จะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวต่อโจทก์ด้วย และข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะเป็นเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายกขึ้นอ้างได้เอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 8,400 บาท ค่าจ้างสำหรับการที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะเลิกสัญญา 1 เดือน เป็นเงิน 1,400 บาท และค่าจ้างสำหรับการทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 18 วัน เป็นเงิน 840 บาท รวมเป็นเงิน 10,640 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยจากเงินต้นดังกล่าวในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง