คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ตายเคยระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้ได้รับประโยชน์มีสิทธิรับเอาเงินประกันชีวิต และได้รับความไว้วางใจจากผู้ตายให้จัดการทรัพย์สิน เช่น ฝากเงินในธนาคารชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ดินและอื่น ๆ นั้น เป็นการใช้ให้กระทำในฐานะญาติหรือตัวแทน ถือไม่ได้ว่ามีส่วนได้เสียในกองมรดก ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713
กรณีศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องซึ่งเป็นการวินิจฉัยประเด็นในคดีตามคำร้องแล้วต้องถือว่าเป็นคำสั่งชี้ขาดคดีหาใช่เป็นคำสั่งไม่รับคำฟ้องหรือคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ไม่จึงไม่มีเหตุผลที่ศาลจะต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้ผู้ร้อง

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ตายเป็นน้องของมารดาผู้ร้อง ทำสัญญาประกันชีวิตระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้รับประโยชน์ ผู้ตายไว้วางใจในตัวผู้ร้อง ให้ผู้ร้องจัดการทรัพย์สินหลายอย่างเช่น ฝากเงินในธนาคาร ชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ดินและอื่น ๆ ทายาททุกคนยินยอมให้ผู้ร้องซึ่งเป็นหลานและเป็นผู้มีส่วนได้เสียมายื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย ขอให้ศาลมีคำสั่ง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นเพียงหลานผู้ตาย และกรณีตามคำร้องยังไม่ถือว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสีย หรือหากศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ก็ขอให้สั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ร้องด้วย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีตามคำร้องเป็นเพราะความกรุณาของผู้ตายอันพึงมีต่อผู้ร้องในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น และเป็นการใช้ให้กระทำในฐานะญาติหรือตัวแทนถือไม่ได้ว่ามีส่วนได้เสีย เมื่อผู้ร้องมิใช่เป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดก และมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1713

เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ถือว่าเป็นการวินิจฉัยประเด็นในคดีตามคำร้องแล้วว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกหรือไม่ ซึ่งต้องถือว่าเป็นคำสั่งชี้ขาดคดี หาใช่เป็นคำสั่งไม่รับคำฟ้องหรือคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ไม่ จึงไม่มีเหตุผลที่ศาลจะต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้ผู้ร้อง

พิพากษายืน

Share