คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไปแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีอาญากับจำเลยฐานบุกรุกแล้วโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์ยอมให้จำเลยทำประโยชน์ในที่พิพาทต่อไปอีกหนึ่งปี โดยจำเลยยอมจ่ายค่าเช่าให้โจทก์ 4,000 บาท ดังนี้ จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จะอ้างพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 5 มาเพื่อขยายเวลาเช่าออกไปเป็น 6 ปีหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด โจทก์ได้ยกให้ทางราชการเพื่อสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช แต่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2520 จำเลยบุกรุกเข้าไปไถทำนาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้ไปแจ้งความต่อตำรวจ ในที่สุดโจทก์จำเลยตกลงกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทต่อไปอีก 1 ปี และจำเลยยอมเสียเงินให้โจทก์ 4,000 บาท แต่จำเลยไม่ให้เงินแก่โจทก์ตามสัญญาและไม่ยอมออกจากที่พิพาท จึงขอให้ศาลพิพากษาขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ยกที่พิพาทให้แก่ทางราชการไปแล้ว ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์เพราะเข้าใจผิดในสารสำคัญด้วยคิดว่าโจทก์ยังมีสิทธิในที่พิพาทอยู่ สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ จำเลยยังมีสิทธิเช่าที่พิพาทต่อไปตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา มาตรา 5ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ มีคำสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะที่ดินรายนี้ไม่ใช่ของโจทก์เสียแล้ว

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินยังเป็นของโจทก์เพราะการให้ที่ดินแก่มูลนิธิไม่ใช่ให้แก่ทางราชการและยังมิได้จดทะเบียน พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

ในชั้นพิจารณาตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยานโดยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่โต้เถียงกันว่า สำเนาบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีนี้ที่ตำรวจทำไว้นั้น เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือว่าเป็นสัญญาเช่า จำเลยจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาหรือไม่

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เป็นสัญญาประนีประนอมและต้องบังคับตามเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณี พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทและให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ในเงิน 4,000บาท ตามสัญญา 1 ปี หลังจากนั้นเป็นค่าเสียหายไม่ต้องเสียดอกเบี้ย

จำเลยฎีกาข้อกฎหมายประเด็นเดียวว่า จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 5

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็เพราะโจทก์จำเลยตกลงกันตามที่ตำรวจบันทึกว่า โจทก์ยอมให้จำเลยทำประโยชน์ในที่แปลงนี้มีกำหนด 1 ปี โดยจำเลยต้องจ่ายเงินค่าเช่า4,000 บาท ให้โจทก์จำเลยจึงมีความผูกพันต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้นั้น จำเลยจะอ้างพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 5 มาอ้างเพื่อขยายเวลาเช่าออกไปเป็น6 ปีหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share