คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 419/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลูกหนี้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.5 เสียภาษีไว้ไม่ถูกต้องเจ้าพนักงานประเมินจึงได้ออกคำสั่งให้ลูกหนี้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา22แต่ยังไม่ทันได้แจ้งให้ลูกหนี้ทราบคำสั่ง ลูกหนี้ก็ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีนี้เสียก่อน กรมสรรพากรผู้ร้องจึงมาขอรับชำระหนี้ดังนี้ เงินที่ลูกหนี้จะต้องเสียอีกร้อยละ 20 แห่งเงินภาษีอากรที่เพิ่มขึ้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 ถือว่าเป็นเงินภาษีอากรและถือว่าได้เกิดขึ้นแล้วพร้อมกับหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคล เมื่อกรมสรรพากรผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลก็มีสิทธิได้รับชำระเงินเพิ่มด้วย แม้ว่าเจ้าพนักงานประเมินมิได้แจ้งการประเมินไปยังลูกหนี้ก็ตามแต่มูลหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มได้เกิดขึ้นแล้วก่อนลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ และเมื่อกรมสรรพากรผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการแจ้งคำสั่งประเมินต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้แล้ว กรมสรรพากรผู้ร้องจึงชอบที่จะได้รับชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้ที่ค้างรวมทั้งเงินเพิ่มดังกล่าว

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย กรมสรรพากรเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้างชำระจากกองทรัพย์สินของจำเลยลูกหนี้ทั้งสองร่วมกันเป็นเงิน 33,180.24 บาท (ที่ถูกคือ 33,186.24บาท) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดบรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้มาตรวจคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นส่งสำนวนต่อศาลชั้นต้นว่าในรอบบัญชี พ.ศ. 2512 ลูกหนี้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.5) ไม่ถูกต้องเจ้าพนักงานประเมินจึงได้ประเมินภาษีใหม่เป็นเงิน 27,655.20 บาท แต่ยังไม่ทันแจ้งให้ลูกหนี้ชำระภาษี ลูกหนี้ก็ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้ ผู้ร้องยังไม่ได้รับชำระหนี้ ลูกหนี้ทั้งสอง จึงต้องร่วมกันรับผิดในเงินค่าภาษีเงินได้จำนวนดังกล่าว ส่วนเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของเงินภาษีเป็นจำนวน 5,531.4บาทนั้น ลูกหนี้ทั้งสองยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้ร้อง จึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 22และ 27 แห่งประมวลรัษฎากร

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กรมสรรพากรผู้ร้องได้รับชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้ที่ค้างชำระเป็นเงิน 27,655.20 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

กรมสรรพากรผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

กรมสรรพากรผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความว่าเมื่อลูกหนี้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.5 เสียภาษีไว้ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินจึงได้ปรับปรุงกำไรสุทธิของลูกหนี้ใหม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ลูกหนี้มีกำไรสุทธิซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเงิน 27,655.20บาท และลูกหนี้ยังไม่ชำระต้องเสียภาษีเพิ่มอีกร้อยละ 20 เป็นเงิน 5,531.04บาทรวมเป็นเงิน 33,186.24 บาท เจ้าพนักงานประเมินจึงได้ออกคำสั่งที่ ต.9/1049/2/00228 ลงวันที่ 10 มกราคม 2517 ให้ลูกหนี้ทั้งสองเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มจำนวนดังกล่าว แต่ยังไม่ทันได้แจ้งให้ลูกหนี้ทราบคำสั่งนี้ ลูกหนี้ทั้งสองก็ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีเสียก่อน ผู้ร้องได้มายื่นคำขอรับชำระหนี้ ผู้ร้องฎีกาว่าในกรณีเช่นนี้ลูกหนี้ทั้งสองนี้ ไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 แห่งภาษีอากรที่ต้องเสียตามความในมาตรา 27แห่งประมวลรัษฎากร แต่ลูกหนี้ทั้งสองจะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 20 แห่งภาษีอากรที่เพิ่มโดยผลของการประเมินตามมาตรา 20 ดังที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 22 แห่งประมวลรัษฎากร ศาลฎีกาเห็นว่าเงินที่ต้องเสียอีกร้อยละ 20แห่งเงินภาษีอากรที่เพิ่มขึ้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 นั้น ถือว่าเป็นเงินภาษีอากรและถือว่าได้เกิดขึ้นแล้วพร้อมกับลูกหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคล เมื่อกรมสรรพากรผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลก็มีสิทธิได้รับชำระเงินเพิ่มด้วย แม้ว่าเจ้าพนักงานประเมินมิได้แจ้งการประเมินไปยังลูกหนี้ก็ตามแต่มูลหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มได้เกิดขึ้นก่อนลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ และเมื่อกรมสรรพากรผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการแจ้งคำสั่งประเมินต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้แล้วที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานประเมินมิได้แจ้งจำนวนเงินที่จะต้องชำระไปยังลูกหนี้ ลูกหนี้จึงไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 แห่งเงินภาษีที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้กรมสรรพากรผู้ร้องได้รับชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้ที่ค้างชำระ 27,655.20 บาท และเงินเพิ่ม 5,531.4 บาทจากกองทรัพย์สินของจำเลยลูกหนี้ทั้งสอง

Share