คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5615/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ถูกกล่าวหานำเมทแอมเฟตามีนเข้าไปที่หน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องขังของศาลซึ่งอยู่ในบริเวณศาลอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1),33 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 เวลากลางวันผู้ถูกกล่าวหาและนายไพบูลย์หรือขาว แม้นรักษา นำสิ่งของมาเยี่ยมนายมานิตย์ นาคทับ ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องควบคุมผู้ต้องขังของศาลจังหวัดสมุทรสาคร ผู้กล่าวหาได้ตรวจสิ่งของดังกล่าวพบเมทแอมเฟตามีนยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน1 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในสิ่งของที่นำมาเยี่ยมและจับผู้ถูกกล่าวหาได้ ส่วนนายไพบูลย์หลบหนีไปและต่อมาถูกจับได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษนายไพบูลย์ ฐานละเมิดอำนาจศาลไปแล้ว

ผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) (ที่ถูกประกอบด้วยมาตรา 33 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15) ให้จำคุก 2 เดือน

ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวผู้กล่าวหา พลตำรวจสายัณห์ ดาเกตุ และพลตำรวจไพโรจน์ คล้ายคาวินเบิกความยืนยันว่าผู้ถูกกล่าวหาและนายไพบูลย์ได้ไปติดต่อผู้กล่าวหาเพื่อขอเยี่ยมนายมานิตย์ที่ถูกคุมขังอยู่ที่ห้องควบคุมผู้ต้องขังของศาล แต่ผู้กล่าวหาไม่อนุญาตผู้ถูกกล่าวหาจึงส่งขนม 1 ถุง ให้นายไพบูลย์ แล้วนายไพบูลย์ได้ส่งถุงขนมดังกล่าวให้ผู้กล่าวหาเพื่อส่งมอบให้แก่นายมานิตย์ผู้ต้องหาในคดียาเสพติดให้โทษ เมื่อผู้กล่าวหาและพยานตรวจดูสิ่งของในถุงขนมพบเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด อยู่ในถุงขนมดังกล่าว จึงยึดไว้เป็นของกลาง ผู้ถูกกล่าวหาและนายไพบูลย์เห็นดังนั้นจึงวิ่งหนี เห็นว่า พยานทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกระทำการตามหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณหน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องขังของศาลไม่มีสาเหตุหรือบาดหมางกับผู้ถูกกล่าวหามาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำให้ร้ายผู้ถูกกล่าวหาต้องรับโทษในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เชื่อได้ว่าพยานทั้งสามเบิกความไปตามที่รู้เห็นจริง แม้พยานผู้กล่าวหาจะเบิกความแตกต่างกันบ้าง ศาลฎีกาเห็นว่าข้อแตกต่างที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างนั้นเกี่ยวถึงการพบเมทแอมเฟตามีนมีสีส้มหรือสีน้ำตาล และอยู่ในถุงขนมอะไร ซึ่งพยานทั้งสามก็เบิกความตรงกันว่าพบเมทแอมเฟตามีนในถุงขนม ข้อแตกต่างดังกล่าวหาใช่เป็นข้อสำคัญไม่เป็นแต่เพียงพลความเท่านั้น ไม่ทำให้พยานผู้กล่าวหาเสียไปนอกจากนี้เมื่อผู้กล่าวหาตรวจพบเมทแอมเฟตามีนในถุง ผู้ถูกกล่าวหาก็วิ่งหนีเป็นพิรุธส่อแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำผิดพยานหลักฐานผู้กล่าวหาที่นำสืบมานั้นฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหานำเมทแอมเฟตามีนเข้าไปที่หน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องขังของศาลซึ่งอยู่ในบริเวณศาลอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15พยานผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานผู้กล่าวหาได้ ที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจในการลงโทษผู้ถูกกล่าวหาเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาผู้ถูกกล่าวหาฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share