แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คณะกรรมการมัสยิดได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 เมษายน2522 ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนกรรมการ อิสลามประจำมัสยิด(สุเหร่า) และวิธีดำเนิน การอันเกี่ยวแก่ศาสนกิจของมัสยิด(สุเหร่า) พ.ศ.2492 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พุทธศักราช 2488 ข้อ 12 กำหนดให้กรรมการอิสลามประจำมัสยิดอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ4 ปี ฉะนั้นการที่คณะกรรมการมัสยิดดังกล่าวมาประชุมกันเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2526 และลงมติมอบอำนาจให้ พ.เป็นผู้แทนโจทก์เพื่อดำเนินคดีอันเป็นระยะเวลาที่ล่วงพ้นวาระในการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการมัสยิดไปแล้ว เช่นนี้จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอำนาจเพราะบุคคลเหล่านั้นมิได้อยู่ในฐานะเป็นกรรมการมัสยิดแล้ว จึงไม่มีผลทำให้มัสยิดโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีได้ เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดี ปัญหาที่ว่าคำสั่งของจำเลยในการถอดถอนและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ของโจทก์จะชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภท “มัสยิดอิสลาม” ที่ประชุมคณะกรรมการของโจทก์ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้นายพิชิต ศรีเรืองทอง อิหม่ามเป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2524 คณะกรรมการของโจทก์ร่วมกับสัปบุรุษได้ปรึกษาตกลงกันรื้อถอนมัสยิดหลังเดิมซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 และ ชำรุดทรุดโทรมมาก และตกลงกันสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้น ซึ่งต่อมาได้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการตั้งทิศทางกิ๊บลัต (ทิศอันเป็นที่ตั้งก๊ะบ๊ะห์ ซึ่งอยู่ที่เมืองมักก๊ะห์ ในประเทศซาอุดีอาระเบีย) ผลที่สุดจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนนทบุรี ได้มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างและแจ้งว่าคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนนทบุรีได้มีมติให้ถอดถอนนายพิชิต ศรีเรืองทอง อิหม่ามออกจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2526 และทำการถอดถอนกรรมการของโจทก์อีก 8 คน แล้วแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยแล้ว นอกจากนี้จำเลยทั้งหมดยังได้ร่วมกับพวกบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขัดขวางมิให้โจทก์ทำการก่อสร้าง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายและให้เพิกถอนคำสั่งตั้งกรรมการมัสยิดของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในชั้นรับฟ้อง ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับฟ้อง
จำเลยทั้งยี่สิบเอ็ด ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาอำนาจฟ้องว่า ปรากฏข้อเท็จจริงจากเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์ว่า รายชื่อคณะกรรมการมัสยิดที่เข้าร่วมประชุมดังกล่าวได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2522 ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนกรรมการอิสลามประจำมัสยิด (สุเหร่า) และวิธีดำเนินการอันเกี่ยวแก่ศาสนกิจของมัสยิด (สุเหร่า) พ.ศ. 2492 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลามพุทธศักราช 2488 ข้อ 12 กำหนดให้กรรมการอิสลามประจำมัสยิดอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 4 ปี ฉะนั้นการที่คณะกรรมการดังกล่าวมาประชุมกันเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2526 และลงมติมอบอำนาจให้นายพิชิต ศรีเรืองทองเป็นผู้แทนโจทก์เพื่อดำเนินคดีนี้อันเป็นระยะเวลาที่ล่วงพ้นวาระในการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ ฯ ไปแล้วเช่นนี้ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอำนาจเพราะบุคคลเหล่านั้นมิได้อยู่ในฐานะเป็นกรรมการมัสยิดแล้ว จึงไม่มีผลทำให้มัสยิดโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีได้ ซึ่งในประเด็นข้อนี้จำเลยก็ได้โต้แย้งมาแล้วตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ ฉะนั้นเมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีดังกล่าว ปัญหาที่ว่า คำสั่งของจำเลยในการถอดถอนและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิดของโจทก์จะชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับหรือไม่ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์